“ใน ระยะประวัติศาสตร์อันยาวนานนั้น นครหลวงเวียงจันทน์ก็มีทั้งระยะเจริญรุ่งเรืองและระยะระทมขมขื่น ถูกทำลายเผาผลาญและตกเป็นเมืองขึ้นของศักดินาต่างด้าวและจักรพรรดิ์ต่างแดน แต่ระยะที่เวียงจันทน์มีความสว่างแจ้งกว่าระยะไหนๆนั้น ก็คือตั้งแต่ปี 1975 มา จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีพรรคประชาชนปฏิวัติลาวเป็นผู้นำพาทำให้ลาวได้เป็นประเทศที่มีเอกราช อำนาจอธิปไตย เอกภาพและประชาชนลาวได้เป็นเจ้าของประเทศชาติอย่างแท้จริง”
คำกล่าวข้างต้นนี้เป็นการแถลงโดย สมบัด เยียลิเฮอ (แกนนำชาวม้งฝ่ายตรงข้ามกับนายพลวั่ง ปาว)เจ้า ครองนครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งยืนยันว่านครหลวงเวียงจันทน์ในปัจจุบันนี้นับเป็นระยะที่ประชาชน ลาวสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุขมากที่สุด ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าลาวภายใต้การนำพาของพรรคประชาชนปฏิวัติลาวนับตั้งแต่ ปี 1975 เป็น ต้นมาจนถึงทุกวันนี้ถือเป็นระยะที่ประเทศลาวนั้นมีเอกราช มีเอกภาพ มีอำนาจอธิปไตย และประชาชนลาวก็เป็นเจ้าตนเองอย่างแท้จริงนั่นเอง
กล่าวสำหรับในปี 2010 นี้ ซึ่งเป็นระยะของการสถาปนาเวียงจันทน์เป็นเมืองหลวงของลาวครบรอบ 450 ปี พอดีนั้น ทางการลาวก็ยังได้ดำเนินการจัดเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ เพื่อรองรับการจัดงานเฉลิมฉลองในโอกาสดังกล่าวนี้อย่างยิ่งใหญ่ โดยกำหนดที่จะจัดขึ้นในโอกาสเดียวกันกับบุญนมัสการพระธาตุหลวงในระหว่างวัน ที่ 15-21 พฤศจิกายนปีนี้ที่นครหลวงเวียงจันทน์
ทั้ง นี้โดยกิจกรรมหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งและทางการลาวก็กำลังเร่งมือ ดำเนินการให้แล้วเสร็จทันกำหนดการเฉลิมฉลองนครหลวงเวียงจันทน์ครบรอบ 450 ปีดังกล่าวนี้ด้วยก็คือการก่อสร้างอนุสาวรีย์ของเจ้าอนุวงศ์ (เจ้ามหาชีวิตองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์) ที่จะมีความสูงถึง 17 เมตร (รวมฐานและแท่นยืนด้วย) ซึ่ง ถือว่าเป็นอนุสาวรีย์ของอดีตเจ้ามหาชีวิตลาวที่สูงที่สุดและจะต้องใช้ทองแดง เฉพาะการหล่อรูปปั้นของเจ้าอนุวงศ์คิดเป็นน้ำหนักรวมถึง 8 ตัน เพื่อให้ประดิษฐานที่สวนสาธารณะริมฝั่งโขงที่อยู่ตรงข้ามกับฝั่งอำเภอศรีเชียงใหม่ในเขตจังหวัดหนองคายของไทยพอดี
ยิ่ง ไปกว่านั้น ทางการลาวยังได้จัดเตรียมพิธีการเฉลิมฉลองอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์อย่างยิ่ง ใหญ่ด้วยการจัดขบวนแห่อันครึกครื้นและดึงดูดมวลชนคนลาวทุกชนชั้นทั้งจากภาย ในและต่างประเทศเข้าร่วมด้วยทั้งยังถือเป็นการเปิดฉากการเฉลิมฉลองนครหลวง เวียงจันทน์ครบรอบ 450 ปี อย่างเป็นทางการด้วยนั้นก็จะเห็นได้ว่าทางการลาวภายใต้การนำพาของพรรค ประชาชนปฏิวัติลาวนั้นได้ให้ความสำคัญกับเจ้ามหาชีวิตพระองค์นี้ไม่ยิ่ง หย่อนไปกว่า เจ้าฟ้างุ้ม เจ้ามหาชีวิตผู้สถาปนาอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางขึ้นในปี พ.ศ. 1900 และ เจ้าไชยเชษฐาธิราช เจ้ามหาชีวิตผู้สถาปนาเวียงจันทน์เป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้างแทนหลวงพระบางในปี พ.ศ. 2103 แต่อย่างใดเลย
ทั้งนี้โดยถึงแม้ว่าพรรคประชาชนปฏิวัติลาว จะได้ล้มล้างสถาบันกษัตริย์และระบบศักดินาในลาวนับตั้งแต่ปี 1975 เป็น ต้นมาแล้วก็ตามแต่ก็หาได้เป็นปัญหาอย่างใดไม่ ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าวีรกรรมของเจ้าอนุวงศ์ ที่พรรคฯลาวได้เชิดชูขึ้นมาเป็นธงนำในการก่อสร้างอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ใน ครั้งนี้ ก็คือการเป็นเจ้ามหาชีวิตที่ได้กระทำในทุกวิถีทางเพื่อประกาศอิสรภาพและความ เป็นเอกราชของชาติลาว ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับการต่อสู้และการนำพาของพรรคฯลาวนั่นเอง
กล่าวสำหรับอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ภายหลังจากที่ได้ประกาศเอกราชจากพม่าในปี พ.ศ.2146 ในรัชสมัยของพระวรวงศาธรรมิกราช ซึ่งก็ทำให้อาณาจักรล้านช้างไม่มีศึกสงครามและการรุกรานจากภายนอกนับเป็นเวลากว่า 100 ปีจนกระทั่งตกมาถึงปี พ.ศ.2250 และปี พ.ศ.2256 อาณาจักร ล้านช้างหลวงพระบางและจำปาสักก็ได้ประกาศแยกตัวออกจากราชอาณาจักรล้านช้าง เวียงจันทน์ตามลำดับ โดยมีสาเหตุมาจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างพี่น้องในราชวงศ์
ซึ่งด้วยความแตกแยกภายในดังกล่าวก็ได้ทำให้อาณาจักรล้านช้างทั้งสาม ต้องตกไปเป็นประเทศราชของสยามอย่างสมบูรณ์ ในปี พ.ศ.2322 อันเป็นที่มาของการกวาดต้อนคนลาวครั้งใหญ่ เฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยพระเจ้านันทเสน (พ.ศ.2324-2337) นั้น นับเป็นช่วงที่คนลาวถูกสยามกวาดต้อนไปเป็นแรงงานขุดคลองในบางกอกมากที่สุด
อย่าง ไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอาณาจักรล้านช้างจะตกเป็นประเทศราชของสยาม แต่ว่าในส่วนของนครเวียง จันทน์นั้นก็ได้รับการทำนุบำรุงในทุกๆด้านอย่างต่อเนื่อง เฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3 หรือ เจ้าอนุวงศ์ (พ.ศ. 2346-2370) นั้น พระองค์ได้ทรงพยายามทำนุบำรุงนครเวียงจันทน์อย่างต่อเนื่อง เช่น โปรดให้สร้างพระราชวังหอโรง วัดศรีบุญเรืองที่หนองคาย หอพระแก้ววัดช้างเผือกที่ศรี เชียงใหม่ สะพานข้ามแม่น้ำโขงจากวัดช้างเผือกมาที่นครเวียงจันทน์ และ วัดสตหัสสาราม (วัดแสนหรือวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน) เป็นต้น
นอก จากนี้ ยังสันนิษฐานกันว่ามีวรรณกรรมสองเรื่องที่เกิดขึ้นในรัชสมัยเจ้าอนุวงศ์ก็ คือสาส์นลึบบ่สูญ และวรรณกรรมร้อยแก้วเรื่องพระลักษณ์-พระราม
ครั้นเมื่อตกมาถึงปี พ.ศ.2370 พระเจ้าอนุวงศ์ ก็ทรงได้ประกาศกู้เอกราชจากสยาม ซึ่งก็ทำให้พระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยาม (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรง เห็นว่าเจ้าอนุวงศ์นั้นเป็นกบฎ จึงให้ยกทัพไปตีนครเวียงจันทน์ และก็ให้ควบคุมตัว เจ้าอนุวงศ์ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์มาที่กรุงสยามในปี พ.ศ.2371 โดยเจ้าอนุวงศ์นั้นก็สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกันอันถือเป็นการสิ้นสุดของราชวงศ์แห่งอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์อีกด้วย
ส่วน นครเวียงจันทน์ในเวลานั้นก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ กำแพงเมืองถูกรื้อถอนอย่างสิ้นซาก ต้นไม้ใบหญ้าก็ถูกตัดทำลายแล้วเผาไหม้เป็นจุล พระพุทธรูปหลายร้อยหลายพันองค์ก็ถูกไฟเผาจนละลายและกองระเนระนาดอยู่ตาม วัดวาอารามต่างๆที่ถูกเผาไหม้ไปตามๆกัน โดยที่มีเพียงวัดศรีสะเกษเท่านั้นที่รอดพ้นจากการถูกเผาทำลาย แต่โดยสรุปรวมความแล้วก็คือว่านครเวียงจันทน์อันสวยงามและอุดมสมบูรณ์นั้น ได้กลับกลายเป็นเมืองร้างไปอย่างสิ้นเชิงในปี พ.ศ. 2371 นั่นเอง
อาณาจักรล้านช้างตกเป็นประเทศราชของสยามจนถึงปี พ.ศ.2436 ฝรั่งเศสก็ได้ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงทั้งหมดรวมถึงเกาะดอนต่างๆ ที่อยู่ในแนวแม่น้ำโขง ไปจากสยามตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี พ.ศ.2436 (ค.ศ.1893) ส่วนดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงนั้นก็ยังคงเป็นของสยามจนกระทั่งปี พ.ศ.2446 ฝรั่งเศสจึงได้ดินแดนที่เป็นอาณาเขตหลวงพระบางและจำปาสักที่อยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขงตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสปี พ.ศ. 2446 (ค.ศ.1903) นั่นเอง
ทั้งนี้ฝรั่งเศสได้ยกให้เขตหลวงพระบาง (เขตเหนือ) เป็นประเทศที่อยู่ในความอารักขา (Protectorate) โดย ได้มอบให้ พระเจ้าสักรินทรฤทธิ์ เป็นผู้ปกครองภายใต้การควบคุมดูแลของข้าหลวงฝรั่งเศสอีกต่อหนึ่ง ส่วนอาณาเขตนับจากแขวงเวียงจันทน์เรื่อยลงไปจนสุดแดนลาวทางภาคใต้นั้น ฝรั่งเศสก็ได้รวมเข้าเป็นหัวเมืองขึ้นหรืออาณานิคมของฝรั่งเศสโดยตรง ซึ่งก็ทำให้นครเวียงจันทน์ในช่วงเวลานั้นถูกจัดให้เป็นเมืองหนึ่งในแขวง เวียงจันทน์เท่านั้น
ส่วน ในด้านการปกครองนั้น ฝรั่งเศสก็มิได้ให้ความสำคัญกับลาวเท่าใดนักเมื่อเทียบกับเวียดนามและ กัมพูชา โดยถึงแม้ว่าจะมีการตั้งคนลาวเป็นเจ้าเมืองก็ตามแต่ก็ให้มีหน้าที่เพียงการ เก็บส่วยและเกณฑ์คนให้กับฝรั่งเศสเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ จึงทำสภาพชีวิตการกินอยู่ของคนลาวเป็นไปตามสภาพเดิม ทั้งยังส่งเสริมให้เล่นการพนัน สูบฝิ่นและดื่มเหล้าได้ตามใจชอบด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้ฝรั่งเศสสามารถปกครองคน ลาวได้อย่างไม่ต้องกังวลใจเลยว่าจะมีการแข็งขืนเกิดขึ้น
ครั้นเมื่ออำนาจการปกครองของฝรั่งเศสในอินโดจีนเสื่อมลงอันเนื่องมาจากการพ่ายแพ้สงครามอย่างย่อยยับในปี พ.ศ.2497 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพ่ายแพ้สงครามในสมรภูมิรบที่เดียนเบียนฟูทางภาคเหนือของเวียดนาม ซึ่งเป็นที่มาของสนธิสัญญาเจนีวาในปีดังกล่าว (ค.ศ.1954) นั้นก็หาได้เป็นผลทำ ให้ศึกสงครามในลาวสงบลงแต่อย่างใดไม่ เนื่องเพราะสหรัฐอเมริกานั้นได้เข้ามามีอิทธิพลในอินโดจีน (ลาว เวียดนาม และ กัมพูชา) แทนที่ฝรั่งเศสในปีถัดมา ด้วยหวั่นเกรงว่าลัทธิคอมมิวนิสต์จีนนั้นจะแผ่อิทธิพลเข้าสู่อินโดจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง
ทั้งนี้โดยรัฐบาลสหรัฐฯได้ทุ่มงบประมาณถึง 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อให้การช่วยเหลือแก่รัฐบาลลาวในแต่ละปีในช่วงปี พ.ศ.2498-2510 นั้นและเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 74 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐต่อปีในช่วงปี พ.ศ.2511-2516 ก็ตาม แต่เกินกว่า 70% ของ งบประมาณดังกล่าวนี้ก็เป็นการทุ่มเทให้กับกองทัพของรัฐบาลลาวที่นคร เวียงจันทน์เพื่อต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์เป็นหลัก จึงทำให้การพัฒนาในด้านอื่นๆเช่นด้านคมนาคมและด้านการศึกษาได้รับการสนับ สนุนเพียง 8% ของความช่วยเหลือทั้งหมดเท่านั้น
ยิ่ง ไปกว่านั้น การที่ลาวต้องตกอยู่ภายใต้สภาวะของสงครามอย่างต่อเนื่องและยาวนาน จึงทำให้การพัฒนาในทุกๆด้านไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ กล่าวคือในปี ค.ศ.1976 ทั่วประเทศลาวมีถนนลาดยางเพียง 1,427 กิโลเมตร ส่วนอีก 1 หมื่นกิโลเมตรก็เป็นถนนลูกรังที่ใช้การได้เฉพาะในช่วงหน้าแล้งเท่านั้น ในขณะที่ประชากรลาวก็มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวเพียงไม่ถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
แต่ครั้นเมื่อพรรคฯ ได้สถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวครบรอบ 35 ปีในปี ค.ศ.2010 ซึ่งก็นับเป็นโอกาสเดียวกันกับการสถาปนาเวียงจันทน์เป็นเมืองหลวงของลาวครบรอบ 450 ปีด้วยนั้น พรรคฯไม่เพียงจะสามารถทำให้ประชากรลาวมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าและมีถนนที่เชื่อมต่อตั้ง แต่เหนือจรดใต้ได้เท่านั้น แต่พรรคฯยังทำให้ลาวมีเอกราชและอธิปไตยอย่างสมบูรณ์อีกด้วย
เพราะ ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่พรรคฯ จะเชิดชูอดีตเจ้ามหาชีวิตผู้ซึ่งมีวีรกรรมทั้งในการ กอบกู้เอกราชและสร้างชาติเฉกเช่นเดียวกันกับวีรกรรมของพรรคประชาชนปฏิวัติ ลาวนั่นเอง!!!
ทรงฤทธิ์ โพนเงิน
ที่มา: http://www.oknation.net/blog/print.php?id=634096
ท่าทางที่รูปปั้นที่แสดงอาการยื่นมือขวาออกไปข้างหน้า เป็นความหมายแห่งการแสดงการให้อภัย เพื่อมิตรภาพ
แสดงว่า คนลาวได้ให้อภัยศัตรูที่เคยเผาพลาญบ้านเรือนทำลายเมืองเวียงจันทร์จนย่อยยับ ในสมัยก่อน
ปัจจุบันการรบพุ่งแบบโบราณได้ถูกยกเลิกไปแล้ว คงไว้แต่ความเห็นอกเห็นใจ การเป็นพี่น้อง การอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์
จึงเป็นนิมิตหมายที่ดีที่เราควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างที่ดีในการให้อภัยซึ่งกันและกัน
...................................
รู้จัก 'เจ้าอะนุวง' ฉบับย่อ
กล่าวสำหรับอาณาจักรล้านช้าง เวียงจันทน์ ภายหลังได้ประกาศเอกราชจากพม่าในปี พ.ศ.2146 ในรัชสมัยของพระวรวงศาธรรมิกราช ซึ่งไม่มีศึกสงครามและการรุกรานจากภายนอกกว่า 100 ปี จนกระทั่งปี พ.ศ.2250 และปี พ.ศ.2256 อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางและจำปาสัก ก็ได้ประกาศแยกตัวออกจากราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ตามลำดับ โดยมีสาเหตุมาจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างพี่น้องในราชวงศ์
จากความแตกแยกภายในดังกล่าว ทำให้อาณาจักรล้านช้างทั้งสาม ต้องตกไปเป็นประเทศราชของสยามอย่างสมบูรณ์ พ.ศ.2322 แต่ว่าในส่วนของนครเวียงจันทน์นั้น ก็ได้รับการทำนุบำรุงในทุกๆ ด้านอย่างต่อเนื่อง เฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัย เจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3 หรือพระเจ้าอนุวงศ์ หรือ 'เจ้าอะนุวง' (พ.ศ.2346-2370) นั้น พระองค์ได้ทรงพยายามทำนุบำรุง เช่น โปรดให้สร้างพระราชวังหอโรง วัดศรีบุญเรืองที่หนองคาย หอพระแก้ววัดช้างเผือกที่ศรีเชียงใหม่ สะพานข้ามแม่น้ำโขงจากวัดช้างเผือกมาที่นครเวียงจันทน์ และวัดสตหัสสาราม (วัดแสน หรือวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน) เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังสันนิษฐานกันว่ามีวรรณกรรมสองเรื่องที่เกิดขึ้นในรัชสมัยเจ้าอนุวงศ์ ก็คือสาส์นลึบบ่สูญ และวรรณกรรมร้อยแก้วเรื่องพระลักษณ์-พระราม
ครั้นปี พ.ศ.2370 พระเจ้าอนุวงศ์ ก็ทรงได้ประกาศกู้เอกราชจากสยาม ซึ่งก็ทำให้พระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยาม (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงเห็นว่าเจ้าอนุวงศ์นั้นเป็นกบฏ จึงให้ยกทัพไปตีนครเวียงจันทน์ และก็ให้ควบคุมตัวเจ้าอนุวงศ์ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์มาที่กรุงสยามในปี พ.ศ.2371
โดยเจ้าอนุวงศ์นั้น ก็สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกัน อันถือเป็นการสิ้นสุดของราชวงศ์แห่งอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์อีกด้วย
ส่วนนครเวียงจันทน์ก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับทุกอย่าง มีเพียงวัดศรีสะเกษเท่านั้น ที่รอดพ้นจากการถูกเผาทำลาย
............
หมายเหตุ : ข้อมูลจาก เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 963 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2553
คัดย่อบางส่วนจากบท ความเรื่อง 'นครหลวงเวียงจันทน์ 450 ปี' โดย ทรงฤทธิ์ โพนเงิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ 'เวียงจันทน์ 450 ปี ภายใต้การนำพาอันฉลาดส่องใส'
...................................
รู้จัก 'เจ้าอะนุวง' ฉบับย่อ
กล่าวสำหรับอาณาจักรล้านช้าง เวียงจันทน์ ภายหลังได้ประกาศเอกราชจากพม่าในปี พ.ศ.2146 ในรัชสมัยของพระวรวงศาธรรมิกราช ซึ่งไม่มีศึกสงครามและการรุกรานจากภายนอกกว่า 100 ปี จนกระทั่งปี พ.ศ.2250 และปี พ.ศ.2256 อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางและจำปาสัก ก็ได้ประกาศแยกตัวออกจากราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ตามลำดับ โดยมีสาเหตุมาจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างพี่น้องในราชวงศ์
จากความแตกแยกภายในดังกล่าว ทำให้อาณาจักรล้านช้างทั้งสาม ต้องตกไปเป็นประเทศราชของสยามอย่างสมบูรณ์ พ.ศ.2322 แต่ว่าในส่วนของนครเวียงจันทน์นั้น ก็ได้รับการทำนุบำรุงในทุกๆ ด้านอย่างต่อเนื่อง เฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัย เจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3 หรือพระเจ้าอนุวงศ์ หรือ 'เจ้าอะนุวง' (พ.ศ.2346-2370) นั้น พระองค์ได้ทรงพยายามทำนุบำรุง เช่น โปรดให้สร้างพระราชวังหอโรง วัดศรีบุญเรืองที่หนองคาย หอพระแก้ววัดช้างเผือกที่ศรีเชียงใหม่ สะพานข้ามแม่น้ำโขงจากวัดช้างเผือกมาที่นครเวียงจันทน์ และวัดสตหัสสาราม (วัดแสน หรือวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน) เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังสันนิษฐานกันว่ามีวรรณกรรมสองเรื่องที่เกิดขึ้นในรัชสมัยเจ้าอนุวงศ์ ก็คือสาส์นลึบบ่สูญ และวรรณกรรมร้อยแก้วเรื่องพระลักษณ์-พระราม
ครั้นปี พ.ศ.2370 พระเจ้าอนุวงศ์ ก็ทรงได้ประกาศกู้เอกราชจากสยาม ซึ่งก็ทำให้พระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยาม (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงเห็นว่าเจ้าอนุวงศ์นั้นเป็นกบฏ จึงให้ยกทัพไปตีนครเวียงจันทน์ และก็ให้ควบคุมตัวเจ้าอนุวงศ์ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์มาที่กรุงสยามในปี พ.ศ.2371
โดยเจ้าอนุวงศ์นั้น ก็สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกัน อันถือเป็นการสิ้นสุดของราชวงศ์แห่งอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์อีกด้วย
ส่วนนครเวียงจันทน์ก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับทุกอย่าง มีเพียงวัดศรีสะเกษเท่านั้น ที่รอดพ้นจากการถูกเผาทำลาย
............
หมายเหตุ : ข้อมูลจาก เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 963 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2553
คัดย่อบางส่วนจากบท ความเรื่อง 'นครหลวงเวียงจันทน์ 450 ปี' โดย ทรงฤทธิ์ โพนเงิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ 'เวียงจันทน์ 450 ปี ภายใต้การนำพาอันฉลาดส่องใส'
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น