|
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปัน และส่งเสริมความรู้ ความเชื่อ ความเข้าใจ ในเรื่องทั่วไป ทั้งศาสนา วัฒนธรรม และสังคม โดย อาจารย์รีวัฒน์ เมืองสุริยา MA, Mdiv, BA,[ My web: {http://reewat.blogspot.com} { www.idmt.org} ]
Gays in China want government to allow them to marry.
คนรักปลา ปลาตัวละเป็นล้านยังซื้อ บ้าหรือเปล่า?
ผมไม่ได้บ้า ...เสียงจากปากคนที่ตั้งราคาขาย ปลามังกรเกือบ 10 ล้าน
แหล่งที่มา : ไทยรัฐ 2010-11-18 10:23:23
หนุ่ม ที่หลายคนว่าเพี๊ยน ตั้งราคาขายปลามังกรหรืออะโรวาน่าราคาเกือบ 10 ล้าน รถบีเอ็มคันงาม บ้านสุดหรู พระสมเด็จฯ ใครมีอยากได้ปลามาแลกได้
ราคา แพงกว่าซื้อรถ หรือคอนโดมิเนียมเสียอีก สำหรับเจ้าปลาอะโรวาน่าของร้าน CCN ชัยนำโชค ตลาดนัดซันเดย์ ซึ่งด้วยสายพันธุ์ของปลาชนิดนี้ก็มีต้นทุนการเลี้ยงที่แสนแพงอยู่แล้ว ความนิยมเลยอยู่ในกลุ่มพวกเศรษฐีมากกว่า เพราะเชื่อกันว่าปลาสายพันธุ์นี้เป็นสัตว์ที่สร้างความมงคลให้ชีวิต โดยเจ้าของปลา พี่ชัย -ชาญชัย นาคประสิทธิ์ บอกว่ารักมาก รองจากครอบครัวเลยก็ว่าได้
"ปลา ตัวนี้ไปๆมาๆ 3 รอบแล้ว ตอนยังเล็กๆ ขายไป 3.5 แสนบาท และซื้อกลับมา 5 แสนกว่าบาท และก็ขายไปอีก พอซื้อกลับมาราคา 1.2 ล้าน ตอนนี้เลยไม่อยากขายแล้ว แต่ถ้าใครซื้อก็ต้องราคาตามนี้ครับ 8.8 ล้านบาท ก็มีคนติดต่อมานะ เคยให้ราคาผม 4-5 ล้านบาท แต่ผมไม่ขายนะ เพราะไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร หนี้สินที่เคยมีเกือบ 100 กว่าล้าน สมัยที่ผมทำธุรกิจเจ๊งก็เคลียร์เกือบหมดแล้วด้วย ผมเลยจะเลี้ยงเขาไปเรื่อยๆ ถ้าได้ราคาที่ตั้งค่อยว่ากันอีกที"
เจ้าอะโรวาน่าสีงาช้างตัวนี้ ถือว่ามีความผูกพักกับพี่ชัยมาก เขาบอกว่าเห็นมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ อีกทั้งปลาตัวนี้เป็นสัตว์มงคลด้วย เลยมีความภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ
"อะไร ก็ตามที่เป็นของแปลกและคนอื่นไม่มี ถ้าเป็นของเรามันก็มีคุณค่าทั้งนั้น ยิ่งเป็นสิ่งมงคลด้วยมันก็ยิ่งทำให้รู้สึกภูมิใจนะ ปลาตัวนี้ทำให้ผมมีความสุข เพราะเรามีของดีที่คนอื่นไม่มี ตอนนี้เรียกว่ารักเขารองๆ จากเมียและลูก ก็คอยให้อาหารสม่ำเสมอ เพราะตัวเขาตอนนี้ยังโตไม่เต็มที่นะ อะโรวาน่าจริงๆ ถ้าโตสุดๆ เกือบเมตร และมีอายุร่วม 70 ปี คือพอๆ กับคนเลย"
นอกจากมีปลาอะโรวาน่าราคา เหยียบ 9 ล้านแล้ว ในร้านยังมีสัตว์แปลกๆ ชนิดอื่นที่เป็นสัตว์มงคล และเป็นของแปลกอีกนับไม่ถ้วน และได้สร้างเม็ดเงินให้กับเขาอย่างมหาศาล แต่กว่าจะมีวันนี้ได้ซึ่งเจ้าของร้าน CCN ชัยนำโชคได้เล่าถึงเริ่มแรกที่หันมาเลี้ยงปลามงคลว่า
"จริงๆ ผมไม่ได้เป็นคนชอบเลี้ยงสัตว์อะไรหรอก แต่เมื่อปี 40 ธุรกิจที่ผมทำมันเจ๊ง แล้วตอนนั้นผมมีหนี้เกือบ 100 ล้าน เครียดมากๆ จนมีอยู่คืนนึงพ่อมาเข้าฝันบอกให้เลี้ยงปลาจะดีขึ้น ผมก็เลยลองดู แต่ช่วงแรกผมก็ทำแต่ไม่ใช่ปลาสวยงาม และเรายังไม่มีความรู้ มันก็ทุลักทุเลบ้าง พอเปลี่ยนมาเลี้ยงปลาสวยงาม และรู้วิธีการดูแลจนชำนาญก็เริ่มดีขึ้นมาเรื่อยๆ ร้านผมตอนนี้เลยเปิดตลอดมา 8 ปีกับอีก 11 เดือน ไม่เคยปิดร้านเลยครับ และผมก็เชื่อเรื่องฮวงจุ้ยด้วย เลยจัดร้านให้มีแต่สิ่งมงคลเพราะเราขายสิ่งที่เป็นมงคล"
ถึงจะเป็น สัตว์เลี้ยง แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์มงคลด้วยแล้ว การจะได้มาเป็นเจ้าของคงต้องสำหรับคนกระเป๋าหนัก ซึ่งพี่ชัยบอกว่าถ้าอยากเลี้ยงจริงๆ อย่างต่ำก็เตรียมไว้เลย 100,000 บาท!
"สำหรับคนที่ชอบปลา อะโรวาน่าจริงๆ และอยากเลี้ยงมาก อย่างต่ำเลยนะต้องมีคือ 1 แสนบาท แต่ที่ร้านผมบางคนที่ชอบแต่ไม่อยากเสียเงินเขาก็จะเอาของมาแลกอย่างพวกพระ เครื่อง หรือสัตว์แปลกๆ ที่ผมดูแล้วถูกใจ ถ้าราคาต่อรองกันแล้วโอเคก็จะแลกกัน คือไม่จำเป็นต้องมาเป็นเงินตลอดครับ อย่างล่าสุดผมก็เพิ่งเอาปลาอะโรวาน่าสีทองกับสีแดงแลกกับพระสมเด็จองค์ละ 5 ล้านไปเอง"
เป็น การสร้างความมงคลที่ใช้เม็ดเงินสูงทีเดียว ของแบบนี้ไม่รวยจริงอย่าได้หวัง ส่วนราคาจะดูสมเหตุสมผลหรือไม่นั้น อันนี้ต้องวัดจากความพอใจล้วนๆ จริงๆ
ชาวเขมรเหยียบกันตาย ๓๓๙ ศพ งานลอยกระทง ๒๕๕๓
ฺBlack Loy Krathong Day, Nov 22, 2010
คนเขมรตื่นเหยียบกันตาย 345 ศพงานลอยกระทง (ไอเอ็นเอ็น)
พบผู้เสียชีวิตกว่า 300 คน ในวันประเพณีลอยกระทงประจำปีใน กัมพูชา หลังเกิดเหตุโกลาหล เหยียบกันเละ ด้านสมเด็จฮุนเซนเร่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ พร้อมประกาศลดธงครึ่งเสา เพื่อเป็นการไว้อาลัยในวันนี้
เหตุการณ์ เกิดขึ้น บนสะพานที่เชื่อมระหว่างเกาะเพชร ที่ทอดตัวยาว ตามแนวทะเลโตนเลสาบ กับแผ่นดินใหญ่ เมื่อเวลาประมาณ 21.30 น. ช่วงค่ำวานนี้ (22) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของงานเทศกาลลอยกระทง วันประเพณีประจำปีของประเทศกัมพูชา ในช่วงวันเพ็ญเดือน 12 ในขณะที่มีผู้คนอัดแน่น อยู่บนเกาะและสะพานดังกล่าว โดยพยานผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า ฝูงชนเริ่มตกใจ เมื่อมีคนหมดสติล้มลงกับพื้น และสถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงอีก เมื่อมีคนจำนวนมาก รีบแย่งกันข้ามสะพานที่เชื่อมระหว่างเกาะ จนตกลงไปในน้ำ
หลังเกิดเหตุ สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น ว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 180 ราย และบาดเจ็บอีกนับร้อยคน ขณะที่ยังไม่เป็นที่แน่ชัด ถึงสิ่งที่ก่อให้เกิดความแตกตื่น และจะจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ผู้เสียชีวิตอาจจะเพิ่มมากขึ้น หลังผู้ได้รับบาดเจ็บหลายรายมีอาการแย่ลง และสิ่งอำนวยความสะดวกทางการแพทย์ที่มีอยู่อย่างจำกัด
ทั้งนี้จากการคาดการณ์ของหน่วยงานต่าง ๆ คาดว่า น่าจะมีผู้เดินทางมาร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลลอยกระทง ซึ่งกินระยะเวลา 3 วัน ที่กรุงพนมเปญ ราว 2 ล้านคน
ต่อ มา เมื่อเวลาประมาณ 02.30 น. สมเด็จฮุนเซน กล่าวให้สัมภาษณ์สดทางโทรทัศน์ ว่ายอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 339 ราย โดยบางสำนักข่าวรายงาน ยอดผู้เสียชีวิตที่ 345 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 400 คน ซึ่งถูกส่งตัวไปรักษายัง 5 โรงพยาบาล ใกล้เคียง พร้อมทั้งกำหนดวันไว้ทุกข์ในวันนี้ (23 พ.ย.) เพื่อเป็นวันไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิต โดยจะมีการลดธงลงครึ่งเสาร์ทั่วประเทศ เพื่อส่งความเสียใจไปยังครอบครัวผู้ประสบเหตุ ขณะที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยยังทำการค้นหาผู้ที่กระโดดลงมาจากสะพาน ซึ่งไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา
ประโยชน์ของการดื่มเบียร์?
มีคนฟอร์เวิร์ดเมล์ เรื่องประโยขน์ของการดื่มเบียร์ให้ผม
ผมเลยเอามาเผยแพร่์ ดูว่ามันดีอย่างไร
ดีขนาดนี้จะช้าอยู่ทำไมไปหาเบียร์กินกันเถอะ
ประโยชน์ของการดื่ม"เบียร์"
เบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด มีวิตามินและเกลือแร่ช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อแข็งแรง
ประโยชน์ของการดื่ม"เบียร์"
เบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด มีวิตามินและเกลือแร่ช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อแข็งแรง
สำหรับ คอเบียร์คงหูผึ่งเมื่อมีคนบอกว่าเบียร์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถึงอย่างไรก็ควรดื่มพอประมาณ แล้วเหตุใดฝรั่งจึงบอกว่าเบียร์ดีมีประโยชน์ เหตุผลก็คือเบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด รวมทั้งวิตามินและเกลือแร่ เช่น สังกะสี แมกนีเซียม เหล็ก และแร่ธาตุจำเป็น ซึ่งช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อ แข็งแรง เหตุผลดีๆ ยังมีอีกมากมาย เช่น
ป้องกันโรคหัวใจ จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มเบียร์ 40 - 60% แต่ควรดื่มไม่เกินครึ่งลิตรต่อวัน
ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต สารที่มีประโยชน์ในเบียร์สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตันจึงช่วยป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
ช่วยลดความดันโลหิต แพทย์ชาวฮอลแลนด์และจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้
ป้องกันเบาหวาน ผู้ที่ดื่มเบียร์มีจำนวนน้อยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เหตุผลก็คือ เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลิให้ความทรงจำดี นักดื่มเบียร์จึงไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์
ช่วยให้กระดูกแข็งแรง เบียร์ให้ผลดีต่อกระดูก สามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ แต่ได้ผลเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น
ช่วยให้อายุยืน จากการศึกษามากกว่า 50 สำนัก พบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์วันละ 1 - 2 แก้ว มักจะมีอายุที่ยืนยาว เนื่องจากเบียร์มีสารปกป้องหัวใจ
ป้องกันท้องร่วง โมเลกุล ในเบียร์มีส่วนประกอบเหมือนกันกับกรดนมและน้ำส้มสายชู สารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรคในลำไส้ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วงไม่ให้แพร่ เชื้อจนท้องเสีย
ต้านความเครียด นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราวมีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์
ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต นักวิชาการจากเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกนีเซียม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรคนิ่วในไตได้ถึง 40%
ป้องกันโรคนอนไม่หลับ สารจากดอก Hops ใน เบียร์เปรียบเสมือนยานอนหลับจากธรรมชาติ ช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย ดังนั้น การดื่มเบียร์หนึ่งแก้วในตอนเย็นจึงเหมือนกับการกินยานอนหลับ
ช่วยต้านมะเร็ง เบียร์มีสารโพลีฟีนอยด์ที่จะช่วยป้องกันมะเร็ง โดยการดักจับอนุมูลอิสระตัวร้ายออกจากร่างกาย สารโพลีฟีนอยด์หลักก็คือ Xanthohumol ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยยับยั้งโปรตีนที่ช่วยในการพัฒนาการของมะเร็ง
ช่วยให้ผิวสวย ในเบียร์มีวิตามินสูง เช่น Pantothenic Acid วิตามินบี 3 และไนอาซิน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่ ช่วยสร้างคอลลาเจนและเม็ดสี ผิวจึงเรียบเนียนและอ่อนนุ่ม
จดหมายส่งต่อฉบับนี้ผมตอบเขาไปว่าอย่างนี้ครับ จริงไม่จริงพิจารณากันเอง
เรื่องการดื่มเบียร์ ถึงมันจะดีเลิศประเสริฐศรีอย่างไร ผมคงไม่เอาแล้ว เพราะผมดื่มมาตั้งแต่อายุสิบกว่าจนถึงสี่สิบกว่า บอกง่ายๆ ว่าในปัจจุบันเบียร์เป็นสิ่งที่ผมไม่เห็นคุณค่าใดๆ อีกแล้ว
สำหรับผม...
การดื่มเบียร์ ทำให้เสียเวลาคุยกับลูกและภรรยา
การดื่มเบียร์ ทำให้เสียเงินค่าซื้อเบียร์
การดื่มเบียร์ อาจทำให้กระเพาะเป็นแผล
สำหรับผม...
การดื่มเบียร์ ทำให้เสียเวลาคุยกับลูกและภรรยา
การดื่มเบียร์ ทำให้เสียเงินค่าซื้อเบียร์
การดื่มเบียร์ อาจทำให้กระเพาะเป็นแผล
การดื่มเบียร์ ทำให้เมียผมไม่ชอบเพราะมันเหม็นกลิ่นลมหายใจ และมีกลิ่นออกตัว
การ ดื่มเบียร์ ทำให้เพื่อนเสียเวลานั่งคุยกับเรา เพราะมันต้องใช้เวลานาน บางครั้งดื่มเพลินจนไม่รู้เวลา บางครั้งติดลมไปต่อที่ร้านคาราโอเกะ อีกทำให้เสี่ยงภัยอีก ทำให้ครอบครัวของเพื่อนอาจมีปัญหากันได้
การดื่มเบียร์ ทำให้ฉี่บ่อย เพราะมีแต่น้ำในร่างกายมาก ไตทำงานหนักมากขึ้น ตับทำงานมากขึ้น
การดื่มเบียร์ ทำให้บวม ดื่มไปหลายปีหน้าจะบวบ ตัวบวบ แขนบวบน้ำ
การดื่มเบียร์ อาจทำให้เส้นเลือดในสมองแตก เพราะเลือดฉีดแรงเกินไป เพื่อนผมตายไปเพราะดื่มเบียร์เป็นนิสัย
การดื่มเบียร์ ทำให้ครอบครัวแตกแยกได้หาก คุมสติไม่ได้อาจมีเพศสัมพันธ์กับคนใจง่ายคนอื่นๆ ได้
การดื่มเบียร์ ไม่ได้ทำให้ความเครียดลด แต่จะเพิ่มความเครียดเพราะมีค่าใช้ในครอบครัวสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น
การดื่มเบียร์ ทำให้มีเวลาอ่านพระคัมภีร์น้อยลง
การดื่มเบียร์ ทำให้มีเวลาสามัคคีธรรมกับพี่น้องคริสเตียนน้อยลง หรือไม่มีเลย
การดื่มเบียร์ ทำให้ติดเป็นนิสัย และกลายเป็นทาส แอลกอฮอล์ เลิกไม่ได้ง่ายๆ
การดื่มเบียร์ ทำให้ภาพพจน์ของการเป็นอาจารย์ทางศาสนาเสียหายได้ เพราะคนไทยเชื่อว่า คนดีต้องไม่กินแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่ ยังเป็นสิ่งคนไทยยึดถืออยู่ลึกๆ ถึงแม้จะไม่ค่อยมีใครพูดถึง
การดื่มเบียร์ อาจไม่ผิดศีลทางศาสนาคริสต์ แต่ผู้รับใช้ที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตแล้ว มันไม่หิวเบียร์อีกเลย จริงๆ ครับ
ขอบคุณ อาจารย์ เปิ้ลที่ส่งต่อมา
การให้อภัย คนลาวให้อภัยคนไทย
“ใน ระยะประวัติศาสตร์อันยาวนานนั้น นครหลวงเวียงจันทน์ก็มีทั้งระยะเจริญรุ่งเรืองและระยะระทมขมขื่น ถูกทำลายเผาผลาญและตกเป็นเมืองขึ้นของศักดินาต่างด้าวและจักรพรรดิ์ต่างแดน แต่ระยะที่เวียงจันทน์มีความสว่างแจ้งกว่าระยะไหนๆนั้น ก็คือตั้งแต่ปี 1975 มา จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีพรรคประชาชนปฏิวัติลาวเป็นผู้นำพาทำให้ลาวได้เป็นประเทศที่มีเอกราช อำนาจอธิปไตย เอกภาพและประชาชนลาวได้เป็นเจ้าของประเทศชาติอย่างแท้จริง”
คำกล่าวข้างต้นนี้เป็นการแถลงโดย สมบัด เยียลิเฮอ (แกนนำชาวม้งฝ่ายตรงข้ามกับนายพลวั่ง ปาว)เจ้า ครองนครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งยืนยันว่านครหลวงเวียงจันทน์ในปัจจุบันนี้นับเป็นระยะที่ประชาชน ลาวสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุขมากที่สุด ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าลาวภายใต้การนำพาของพรรคประชาชนปฏิวัติลาวนับตั้งแต่ ปี 1975 เป็น ต้นมาจนถึงทุกวันนี้ถือเป็นระยะที่ประเทศลาวนั้นมีเอกราช มีเอกภาพ มีอำนาจอธิปไตย และประชาชนลาวก็เป็นเจ้าตนเองอย่างแท้จริงนั่นเอง
กล่าวสำหรับในปี 2010 นี้ ซึ่งเป็นระยะของการสถาปนาเวียงจันทน์เป็นเมืองหลวงของลาวครบรอบ 450 ปี พอดีนั้น ทางการลาวก็ยังได้ดำเนินการจัดเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ เพื่อรองรับการจัดงานเฉลิมฉลองในโอกาสดังกล่าวนี้อย่างยิ่งใหญ่ โดยกำหนดที่จะจัดขึ้นในโอกาสเดียวกันกับบุญนมัสการพระธาตุหลวงในระหว่างวัน ที่ 15-21 พฤศจิกายนปีนี้ที่นครหลวงเวียงจันทน์
ทั้ง นี้โดยกิจกรรมหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งและทางการลาวก็กำลังเร่งมือ ดำเนินการให้แล้วเสร็จทันกำหนดการเฉลิมฉลองนครหลวงเวียงจันทน์ครบรอบ 450 ปีดังกล่าวนี้ด้วยก็คือการก่อสร้างอนุสาวรีย์ของเจ้าอนุวงศ์ (เจ้ามหาชีวิตองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์) ที่จะมีความสูงถึง 17 เมตร (รวมฐานและแท่นยืนด้วย) ซึ่ง ถือว่าเป็นอนุสาวรีย์ของอดีตเจ้ามหาชีวิตลาวที่สูงที่สุดและจะต้องใช้ทองแดง เฉพาะการหล่อรูปปั้นของเจ้าอนุวงศ์คิดเป็นน้ำหนักรวมถึง 8 ตัน เพื่อให้ประดิษฐานที่สวนสาธารณะริมฝั่งโขงที่อยู่ตรงข้ามกับฝั่งอำเภอศรีเชียงใหม่ในเขตจังหวัดหนองคายของไทยพอดี
ยิ่ง ไปกว่านั้น ทางการลาวยังได้จัดเตรียมพิธีการเฉลิมฉลองอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์อย่างยิ่ง ใหญ่ด้วยการจัดขบวนแห่อันครึกครื้นและดึงดูดมวลชนคนลาวทุกชนชั้นทั้งจากภาย ในและต่างประเทศเข้าร่วมด้วยทั้งยังถือเป็นการเปิดฉากการเฉลิมฉลองนครหลวง เวียงจันทน์ครบรอบ 450 ปี อย่างเป็นทางการด้วยนั้นก็จะเห็นได้ว่าทางการลาวภายใต้การนำพาของพรรค ประชาชนปฏิวัติลาวนั้นได้ให้ความสำคัญกับเจ้ามหาชีวิตพระองค์นี้ไม่ยิ่ง หย่อนไปกว่า เจ้าฟ้างุ้ม เจ้ามหาชีวิตผู้สถาปนาอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางขึ้นในปี พ.ศ. 1900 และ เจ้าไชยเชษฐาธิราช เจ้ามหาชีวิตผู้สถาปนาเวียงจันทน์เป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้างแทนหลวงพระบางในปี พ.ศ. 2103 แต่อย่างใดเลย
ทั้งนี้โดยถึงแม้ว่าพรรคประชาชนปฏิวัติลาว จะได้ล้มล้างสถาบันกษัตริย์และระบบศักดินาในลาวนับตั้งแต่ปี 1975 เป็น ต้นมาแล้วก็ตามแต่ก็หาได้เป็นปัญหาอย่างใดไม่ ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าวีรกรรมของเจ้าอนุวงศ์ ที่พรรคฯลาวได้เชิดชูขึ้นมาเป็นธงนำในการก่อสร้างอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ใน ครั้งนี้ ก็คือการเป็นเจ้ามหาชีวิตที่ได้กระทำในทุกวิถีทางเพื่อประกาศอิสรภาพและความ เป็นเอกราชของชาติลาว ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับการต่อสู้และการนำพาของพรรคฯลาวนั่นเอง
กล่าวสำหรับอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ภายหลังจากที่ได้ประกาศเอกราชจากพม่าในปี พ.ศ.2146 ในรัชสมัยของพระวรวงศาธรรมิกราช ซึ่งก็ทำให้อาณาจักรล้านช้างไม่มีศึกสงครามและการรุกรานจากภายนอกนับเป็นเวลากว่า 100 ปีจนกระทั่งตกมาถึงปี พ.ศ.2250 และปี พ.ศ.2256 อาณาจักร ล้านช้างหลวงพระบางและจำปาสักก็ได้ประกาศแยกตัวออกจากราชอาณาจักรล้านช้าง เวียงจันทน์ตามลำดับ โดยมีสาเหตุมาจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างพี่น้องในราชวงศ์
ซึ่งด้วยความแตกแยกภายในดังกล่าวก็ได้ทำให้อาณาจักรล้านช้างทั้งสาม ต้องตกไปเป็นประเทศราชของสยามอย่างสมบูรณ์ ในปี พ.ศ.2322 อันเป็นที่มาของการกวาดต้อนคนลาวครั้งใหญ่ เฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยพระเจ้านันทเสน (พ.ศ.2324-2337) นั้น นับเป็นช่วงที่คนลาวถูกสยามกวาดต้อนไปเป็นแรงงานขุดคลองในบางกอกมากที่สุด
อย่าง ไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอาณาจักรล้านช้างจะตกเป็นประเทศราชของสยาม แต่ว่าในส่วนของนครเวียง จันทน์นั้นก็ได้รับการทำนุบำรุงในทุกๆด้านอย่างต่อเนื่อง เฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3 หรือ เจ้าอนุวงศ์ (พ.ศ. 2346-2370) นั้น พระองค์ได้ทรงพยายามทำนุบำรุงนครเวียงจันทน์อย่างต่อเนื่อง เช่น โปรดให้สร้างพระราชวังหอโรง วัดศรีบุญเรืองที่หนองคาย หอพระแก้ววัดช้างเผือกที่ศรี เชียงใหม่ สะพานข้ามแม่น้ำโขงจากวัดช้างเผือกมาที่นครเวียงจันทน์ และ วัดสตหัสสาราม (วัดแสนหรือวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน) เป็นต้น
นอก จากนี้ ยังสันนิษฐานกันว่ามีวรรณกรรมสองเรื่องที่เกิดขึ้นในรัชสมัยเจ้าอนุวงศ์ก็ คือสาส์นลึบบ่สูญ และวรรณกรรมร้อยแก้วเรื่องพระลักษณ์-พระราม
ครั้นเมื่อตกมาถึงปี พ.ศ.2370 พระเจ้าอนุวงศ์ ก็ทรงได้ประกาศกู้เอกราชจากสยาม ซึ่งก็ทำให้พระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยาม (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรง เห็นว่าเจ้าอนุวงศ์นั้นเป็นกบฎ จึงให้ยกทัพไปตีนครเวียงจันทน์ และก็ให้ควบคุมตัว เจ้าอนุวงศ์ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์มาที่กรุงสยามในปี พ.ศ.2371 โดยเจ้าอนุวงศ์นั้นก็สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกันอันถือเป็นการสิ้นสุดของราชวงศ์แห่งอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์อีกด้วย
ส่วน นครเวียงจันทน์ในเวลานั้นก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ กำแพงเมืองถูกรื้อถอนอย่างสิ้นซาก ต้นไม้ใบหญ้าก็ถูกตัดทำลายแล้วเผาไหม้เป็นจุล พระพุทธรูปหลายร้อยหลายพันองค์ก็ถูกไฟเผาจนละลายและกองระเนระนาดอยู่ตาม วัดวาอารามต่างๆที่ถูกเผาไหม้ไปตามๆกัน โดยที่มีเพียงวัดศรีสะเกษเท่านั้นที่รอดพ้นจากการถูกเผาทำลาย แต่โดยสรุปรวมความแล้วก็คือว่านครเวียงจันทน์อันสวยงามและอุดมสมบูรณ์นั้น ได้กลับกลายเป็นเมืองร้างไปอย่างสิ้นเชิงในปี พ.ศ. 2371 นั่นเอง
อาณาจักรล้านช้างตกเป็นประเทศราชของสยามจนถึงปี พ.ศ.2436 ฝรั่งเศสก็ได้ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงทั้งหมดรวมถึงเกาะดอนต่างๆ ที่อยู่ในแนวแม่น้ำโขง ไปจากสยามตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี พ.ศ.2436 (ค.ศ.1893) ส่วนดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงนั้นก็ยังคงเป็นของสยามจนกระทั่งปี พ.ศ.2446 ฝรั่งเศสจึงได้ดินแดนที่เป็นอาณาเขตหลวงพระบางและจำปาสักที่อยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขงตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสปี พ.ศ. 2446 (ค.ศ.1903) นั่นเอง
ทั้งนี้ฝรั่งเศสได้ยกให้เขตหลวงพระบาง (เขตเหนือ) เป็นประเทศที่อยู่ในความอารักขา (Protectorate) โดย ได้มอบให้ พระเจ้าสักรินทรฤทธิ์ เป็นผู้ปกครองภายใต้การควบคุมดูแลของข้าหลวงฝรั่งเศสอีกต่อหนึ่ง ส่วนอาณาเขตนับจากแขวงเวียงจันทน์เรื่อยลงไปจนสุดแดนลาวทางภาคใต้นั้น ฝรั่งเศสก็ได้รวมเข้าเป็นหัวเมืองขึ้นหรืออาณานิคมของฝรั่งเศสโดยตรง ซึ่งก็ทำให้นครเวียงจันทน์ในช่วงเวลานั้นถูกจัดให้เป็นเมืองหนึ่งในแขวง เวียงจันทน์เท่านั้น
ส่วน ในด้านการปกครองนั้น ฝรั่งเศสก็มิได้ให้ความสำคัญกับลาวเท่าใดนักเมื่อเทียบกับเวียดนามและ กัมพูชา โดยถึงแม้ว่าจะมีการตั้งคนลาวเป็นเจ้าเมืองก็ตามแต่ก็ให้มีหน้าที่เพียงการ เก็บส่วยและเกณฑ์คนให้กับฝรั่งเศสเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ จึงทำสภาพชีวิตการกินอยู่ของคนลาวเป็นไปตามสภาพเดิม ทั้งยังส่งเสริมให้เล่นการพนัน สูบฝิ่นและดื่มเหล้าได้ตามใจชอบด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้ฝรั่งเศสสามารถปกครองคน ลาวได้อย่างไม่ต้องกังวลใจเลยว่าจะมีการแข็งขืนเกิดขึ้น
ครั้นเมื่ออำนาจการปกครองของฝรั่งเศสในอินโดจีนเสื่อมลงอันเนื่องมาจากการพ่ายแพ้สงครามอย่างย่อยยับในปี พ.ศ.2497 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพ่ายแพ้สงครามในสมรภูมิรบที่เดียนเบียนฟูทางภาคเหนือของเวียดนาม ซึ่งเป็นที่มาของสนธิสัญญาเจนีวาในปีดังกล่าว (ค.ศ.1954) นั้นก็หาได้เป็นผลทำ ให้ศึกสงครามในลาวสงบลงแต่อย่างใดไม่ เนื่องเพราะสหรัฐอเมริกานั้นได้เข้ามามีอิทธิพลในอินโดจีน (ลาว เวียดนาม และ กัมพูชา) แทนที่ฝรั่งเศสในปีถัดมา ด้วยหวั่นเกรงว่าลัทธิคอมมิวนิสต์จีนนั้นจะแผ่อิทธิพลเข้าสู่อินโดจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง
ทั้งนี้โดยรัฐบาลสหรัฐฯได้ทุ่มงบประมาณถึง 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อให้การช่วยเหลือแก่รัฐบาลลาวในแต่ละปีในช่วงปี พ.ศ.2498-2510 นั้นและเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 74 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐต่อปีในช่วงปี พ.ศ.2511-2516 ก็ตาม แต่เกินกว่า 70% ของ งบประมาณดังกล่าวนี้ก็เป็นการทุ่มเทให้กับกองทัพของรัฐบาลลาวที่นคร เวียงจันทน์เพื่อต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์เป็นหลัก จึงทำให้การพัฒนาในด้านอื่นๆเช่นด้านคมนาคมและด้านการศึกษาได้รับการสนับ สนุนเพียง 8% ของความช่วยเหลือทั้งหมดเท่านั้น
ยิ่ง ไปกว่านั้น การที่ลาวต้องตกอยู่ภายใต้สภาวะของสงครามอย่างต่อเนื่องและยาวนาน จึงทำให้การพัฒนาในทุกๆด้านไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ กล่าวคือในปี ค.ศ.1976 ทั่วประเทศลาวมีถนนลาดยางเพียง 1,427 กิโลเมตร ส่วนอีก 1 หมื่นกิโลเมตรก็เป็นถนนลูกรังที่ใช้การได้เฉพาะในช่วงหน้าแล้งเท่านั้น ในขณะที่ประชากรลาวก็มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวเพียงไม่ถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
แต่ครั้นเมื่อพรรคฯ ได้สถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวครบรอบ 35 ปีในปี ค.ศ.2010 ซึ่งก็นับเป็นโอกาสเดียวกันกับการสถาปนาเวียงจันทน์เป็นเมืองหลวงของลาวครบรอบ 450 ปีด้วยนั้น พรรคฯไม่เพียงจะสามารถทำให้ประชากรลาวมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าและมีถนนที่เชื่อมต่อตั้ง แต่เหนือจรดใต้ได้เท่านั้น แต่พรรคฯยังทำให้ลาวมีเอกราชและอธิปไตยอย่างสมบูรณ์อีกด้วย
เพราะ ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่พรรคฯ จะเชิดชูอดีตเจ้ามหาชีวิตผู้ซึ่งมีวีรกรรมทั้งในการ กอบกู้เอกราชและสร้างชาติเฉกเช่นเดียวกันกับวีรกรรมของพรรคประชาชนปฏิวัติ ลาวนั่นเอง!!!
ทรงฤทธิ์ โพนเงิน
ที่มา: http://www.oknation.net/blog/print.php?id=634096
ท่าทางที่รูปปั้นที่แสดงอาการยื่นมือขวาออกไปข้างหน้า เป็นความหมายแห่งการแสดงการให้อภัย เพื่อมิตรภาพ
แสดงว่า คนลาวได้ให้อภัยศัตรูที่เคยเผาพลาญบ้านเรือนทำลายเมืองเวียงจันทร์จนย่อยยับ ในสมัยก่อน
ปัจจุบันการรบพุ่งแบบโบราณได้ถูกยกเลิกไปแล้ว คงไว้แต่ความเห็นอกเห็นใจ การเป็นพี่น้อง การอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์
จึงเป็นนิมิตหมายที่ดีที่เราควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างที่ดีในการให้อภัยซึ่งกันและกัน
...................................
รู้จัก 'เจ้าอะนุวง' ฉบับย่อ
กล่าวสำหรับอาณาจักรล้านช้าง เวียงจันทน์ ภายหลังได้ประกาศเอกราชจากพม่าในปี พ.ศ.2146 ในรัชสมัยของพระวรวงศาธรรมิกราช ซึ่งไม่มีศึกสงครามและการรุกรานจากภายนอกกว่า 100 ปี จนกระทั่งปี พ.ศ.2250 และปี พ.ศ.2256 อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางและจำปาสัก ก็ได้ประกาศแยกตัวออกจากราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ตามลำดับ โดยมีสาเหตุมาจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างพี่น้องในราชวงศ์
จากความแตกแยกภายในดังกล่าว ทำให้อาณาจักรล้านช้างทั้งสาม ต้องตกไปเป็นประเทศราชของสยามอย่างสมบูรณ์ พ.ศ.2322 แต่ว่าในส่วนของนครเวียงจันทน์นั้น ก็ได้รับการทำนุบำรุงในทุกๆ ด้านอย่างต่อเนื่อง เฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัย เจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3 หรือพระเจ้าอนุวงศ์ หรือ 'เจ้าอะนุวง' (พ.ศ.2346-2370) นั้น พระองค์ได้ทรงพยายามทำนุบำรุง เช่น โปรดให้สร้างพระราชวังหอโรง วัดศรีบุญเรืองที่หนองคาย หอพระแก้ววัดช้างเผือกที่ศรีเชียงใหม่ สะพานข้ามแม่น้ำโขงจากวัดช้างเผือกมาที่นครเวียงจันทน์ และวัดสตหัสสาราม (วัดแสน หรือวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน) เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังสันนิษฐานกันว่ามีวรรณกรรมสองเรื่องที่เกิดขึ้นในรัชสมัยเจ้าอนุวงศ์ ก็คือสาส์นลึบบ่สูญ และวรรณกรรมร้อยแก้วเรื่องพระลักษณ์-พระราม
ครั้นปี พ.ศ.2370 พระเจ้าอนุวงศ์ ก็ทรงได้ประกาศกู้เอกราชจากสยาม ซึ่งก็ทำให้พระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยาม (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงเห็นว่าเจ้าอนุวงศ์นั้นเป็นกบฏ จึงให้ยกทัพไปตีนครเวียงจันทน์ และก็ให้ควบคุมตัวเจ้าอนุวงศ์ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์มาที่กรุงสยามในปี พ.ศ.2371
โดยเจ้าอนุวงศ์นั้น ก็สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกัน อันถือเป็นการสิ้นสุดของราชวงศ์แห่งอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์อีกด้วย
ส่วนนครเวียงจันทน์ก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับทุกอย่าง มีเพียงวัดศรีสะเกษเท่านั้น ที่รอดพ้นจากการถูกเผาทำลาย
............
หมายเหตุ : ข้อมูลจาก เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 963 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2553
คัดย่อบางส่วนจากบท ความเรื่อง 'นครหลวงเวียงจันทน์ 450 ปี' โดย ทรงฤทธิ์ โพนเงิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ 'เวียงจันทน์ 450 ปี ภายใต้การนำพาอันฉลาดส่องใส'
...................................
รู้จัก 'เจ้าอะนุวง' ฉบับย่อ
กล่าวสำหรับอาณาจักรล้านช้าง เวียงจันทน์ ภายหลังได้ประกาศเอกราชจากพม่าในปี พ.ศ.2146 ในรัชสมัยของพระวรวงศาธรรมิกราช ซึ่งไม่มีศึกสงครามและการรุกรานจากภายนอกกว่า 100 ปี จนกระทั่งปี พ.ศ.2250 และปี พ.ศ.2256 อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางและจำปาสัก ก็ได้ประกาศแยกตัวออกจากราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ตามลำดับ โดยมีสาเหตุมาจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างพี่น้องในราชวงศ์
จากความแตกแยกภายในดังกล่าว ทำให้อาณาจักรล้านช้างทั้งสาม ต้องตกไปเป็นประเทศราชของสยามอย่างสมบูรณ์ พ.ศ.2322 แต่ว่าในส่วนของนครเวียงจันทน์นั้น ก็ได้รับการทำนุบำรุงในทุกๆ ด้านอย่างต่อเนื่อง เฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัย เจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3 หรือพระเจ้าอนุวงศ์ หรือ 'เจ้าอะนุวง' (พ.ศ.2346-2370) นั้น พระองค์ได้ทรงพยายามทำนุบำรุง เช่น โปรดให้สร้างพระราชวังหอโรง วัดศรีบุญเรืองที่หนองคาย หอพระแก้ววัดช้างเผือกที่ศรีเชียงใหม่ สะพานข้ามแม่น้ำโขงจากวัดช้างเผือกมาที่นครเวียงจันทน์ และวัดสตหัสสาราม (วัดแสน หรือวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน) เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังสันนิษฐานกันว่ามีวรรณกรรมสองเรื่องที่เกิดขึ้นในรัชสมัยเจ้าอนุวงศ์ ก็คือสาส์นลึบบ่สูญ และวรรณกรรมร้อยแก้วเรื่องพระลักษณ์-พระราม
ครั้นปี พ.ศ.2370 พระเจ้าอนุวงศ์ ก็ทรงได้ประกาศกู้เอกราชจากสยาม ซึ่งก็ทำให้พระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยาม (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงเห็นว่าเจ้าอนุวงศ์นั้นเป็นกบฏ จึงให้ยกทัพไปตีนครเวียงจันทน์ และก็ให้ควบคุมตัวเจ้าอนุวงศ์ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์มาที่กรุงสยามในปี พ.ศ.2371
โดยเจ้าอนุวงศ์นั้น ก็สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกัน อันถือเป็นการสิ้นสุดของราชวงศ์แห่งอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์อีกด้วย
ส่วนนครเวียงจันทน์ก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับทุกอย่าง มีเพียงวัดศรีสะเกษเท่านั้น ที่รอดพ้นจากการถูกเผาทำลาย
............
หมายเหตุ : ข้อมูลจาก เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 963 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2553
คัดย่อบางส่วนจากบท ความเรื่อง 'นครหลวงเวียงจันทน์ 450 ปี' โดย ทรงฤทธิ์ โพนเงิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ 'เวียงจันทน์ 450 ปี ภายใต้การนำพาอันฉลาดส่องใส'
วิจัยพบ ร้อยละ ๔๗ เชื่อว่าการทำแท้งคือสิทธิในการฆ่า ส่วนบุคคล
โพลชี้'รีดมารหัวขน' สิทธิส่วนบุคคล โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 21 พฤศจิกายน 2553 22:06 น. ASTVผู้จัดการรายวัน - โพลชี้ประชาชนหนุนแก้กฎหมายทำแท้ง เกินครึ่งระบุเป็นสิทธิส่วนบุคคล แค่ 15% เห็นว่าบาป วานนี้ (21 พ.ย.) สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นประชาชนในกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 1,458 คน เกี่ยวกับ "การพบศพเด็กทารกจำนวนมาก ภายในวัดไผ่เงิน" ผลปรากฎว่า ประชาชน ร้อยละ 62.18 เห็นว่า กรณีการพบศพทารก สร้างความตกตะลึง และตกใจว่าทำไมถึงได้มีการทำแท้งเป็นจำนวนมากมายขนาดนี้ ร้อยละ 15.24 เห็นว่า เป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรม เป็นการทำบาป และ ผิดกฎหมาย ***เกือบครึ่งชี้ทำแท้งสิทธิส่วนบุคคล นอกจากนี้ ร้ประชาชนร้อยละ 47.17ยังคิดว่าการทำแท้งเป็นสิทธิส่วนบุคคล / มาจากความจำเป็นของแต่ละคน เพราะถือเป็นการตัดสินใจของผู้ที่ให้กำเนิดเอง สิ่งที่เกิดขึ้นอาจมาจากความไม่พร้อมหรือความจำเป็นของแต่ละคน ฯลฯ ร้อยละ 30.19 ระบุว่า ไม่แน่ใจ เพราะ คิดว่าคนที่มาทำแท้งน่าจะมีเหตุผลหรือความจำเป็นที่แตกต่างกันออกไป ในใจลึกๆ แล้วเชื่อว่าคนเป็นแม่ย่อมรักลูก ฯลฯ ขณะที่ ร้อยละ 22.64 ระบุว่า ไม่เป็น เพราะ ตามกฎหมายได้ระบุไว้แล้วว่าการทำแท้งเป็นเรื่องผิดกฎหมายและผิดศีลธรรม ฯลฯ ทั้งนี้ ประชาชน ร้อยละ 65.62 เห็นด้วย หากมีการแก้ไขกฎหมาย เพราะสังคมไทยในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก การมีเพศสัมพันธ์โดยขาดการป้องกันเกิดขึ้นได้ง่าย บางคนคิดว่าการทำแท้งเป็นเรื่องปกติ หรือ เป็นทางออกที่ดีที่สุด ฯลฯ ร้อยละ 21.72 ไม่แน่ใจ เพราะ การแก้ไขกฎหมายอย่างเดียวคงไม่ได้ผล ควรให้ความรู้หรือให้การศึกษาในเรื่องนี้ควบคู่ไปด้วยจะดีกว่า ฯลฯ และ ร้อยละ 12.66 ไม่เห็นด้วยเพราะ ขึ้นอยู่กับความคิดและวิจารณญาณของแต่ละคน กฎหมายหรือข้อห้ามต่างๆ เกี่ยวกับการทำลายชีวิต ทำผิดศีลธรรม ก็มีระบุไว้อยู่แล้ว ฯลฯ
การใช้ถุงยางอนามัย กับความเชื่อของวาติกัน
ยูเอ็นเอดส์ ขานรับการเปลี่ยนท่าทีของโป๊ป กรณีการใช้ถุงยางอนามัย โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 พฤศจิกายน 2553 18:29 น. เอเอฟพี - หน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ ผู้นำการรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์ วันนี้ (21) ออกมาขานรับความคิดเห็นของ สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 กรณียอมรับการใช้ถุงยางอนามัย โดยก่อนหน้านี้ ทางวาติกันเห็นว่าการคุมกำเนิดเป็นเรื่องผิดหลักมนุษยธรรม ในการให้สัมภาษณ์เพื่อลงหนังสือซึ่งวางแผงไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ตรัส ว่า ในปัจจุบันการใช้ถุงยางอนามัยไม่ควรถูกมองว่าเป็น "เรื่องศีลธรรม" องค์สมเด็จพระสันตะปาปาท่านนี้ เปิดใจยอมรับการใช้ถุงยางอนามัย หลังจากสำนักวาติกันเคยห้ามการคุมกำเนิดทุกวิธี "เฉพาะในกรณีนี้ ซึ่งใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ควรคำนึงถึงการใช้ถุงยางอนามัยในแง่ของการป้องกันเป็นอันดับแรก มากกว่าประเด็นมนุษยธรรมในการคุมกำเนิด" ผู้นำชาวคริสต์คาทอลิกกว่า 1,100 ล้านคน ตรัส ก่อนหน้านี้ สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ เคยก่อให้เกิดเสียงครหาอื้ออึง เมื่อเดือนมีนาคม 2009 ในการเสด็จเยือนทวีปแอฟริกา ที่ประชากรถูกโรคเอดส์คร่าชีวิตไปจำนวนมาก พระองค์ทรงให้สัมภาษณ์กับนักข่าว ว่า การแจกถุงยางอนามัยเป็นซ้ำเติม การแพร่ระบาดของโรคติดต่อร้ายแรงดังกล่าว พระองค์ทรงยกตัวอย่างกรณีผู้ชายที่ขายบริการทางเพศใช้ถุงยางอนามัย ว่าทางที่ดี ควรทำความเข้าใจใหม่ว่าไม่ควรมีการอนุญาตให้มีการขายบริการทางเพศ แทนที่จะไล่แจกถุงยางอนามัย นอกจากนี้ พระองค์ทรงเน้นย้ำหลายครั้งหลายคราว่าการใช้ถุงยางอนามัยเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาการติดเชื้อเอชไอวีได้ "ต้องทำมากกว่านี้" พระองค์ตรัส อย่างไรก็ตาม เมื่อทางสำนักวาติกัน มีการเปลี่ยนท่าทีต่อการใช้ถุงยางอนามัย ผู้อำนวยการยูเอ็นเอดส์จึงออกมาระบุในคำแถลงว่า การแสดงความเห็นของสมเด็จพระสันตะปาปาครั้งนี้ ถือเป็น "ก้าวสำคัญ และเป็นผลดีต่อการป้องกันเชื้อเอดส์" "ท่าทีดังกล่าวเป็นก้าวสำคัญที่ส่งผลดีอย่างยิ่ง ที่ทางสำนักวาติกันเผยออกมาวันนี้" ไมเคิล ซิดิเบ ผู้อำนวยการยูเอ็นเอดส์ ระบุในคำแถลง "นั่นเป็นการยอมรับว่า การมีเพศสัมพันธ์โดยมีความรับผิดชอบ และ การใช้ถุงยางอนามัย มีส่วนสำคัญในการป้องกันเชื้อเอชไอวี" เขากล่าว "เราสามารถสร้างโลกที่ไม่มีเชื้อเอชไอวี โลกที่ไม่มีการแบ่งแยก และโลกที่ไม่มีการเสียชีวิตจากเชื้อเอดส์ได้" ฟรังโก กริลลินี ประธานกลุ่มอาร์กิเกย์ ผู้เรียกร้องสิทธิของกลุ่มรักร่วมเพศในอิตาลี กล่าวว่า การกระทำของสำนักวิตากันครั้งนี้เท่ากับเป็นการยอมรับความผิดพลาดในอดีต จากจุดยืนอันแข็งกร้าวก่อนหน้านี้ หน่วยงานต่อต้านเอดส์ในแอฟริกาใต้ ก็ออกมาขานรับความเห็นของพระสันตะปาปา แต่ยังกล่าวว่าพระองค์ต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจนกว่านี้ ทั้งนี้ในแอฟริกาใต้มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีประมาณ 5.7 ล้านคนจากประชากรทั้งหมด 48 ล้านคน ปีเตอร์ แทตเชล นักรณรงค์เพื่อสิทธิของกลุ่มเกย์อังกฤษ ก็ยินดีกับท่าทีดังกล่าว แต่ได้กล่าวเช่นในทำนองเดียวกันว่า การแสดงความเห็นดังกล่าวยังไม่ชัดเจนพอ "ความคิดเห็นของโป๊บเป็นเพียงความหวังเล็กๆ ว่า หลักศาสนาของโบสถ์คาทอลิกจะมีการเปลี่ยนแปลง" เขาให้สัมภาษณ์กับสถานีข่าวสกายนิวส์ ดูภาพคลิก http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9530000164766
A chicken Lady
I have given you authority over all the power of the enemy, and you can walk among snakes and scorpions and crush them. Nothing will injure you (Luke 10:19, NLT).
Dear Friends,
Do you know who you are in Christ, and your authority in Him?
There is an amusing story about the late Christian A. Herter, former U.S. Secretary of State, when he was running hard for reelection as Governor of Massachusetts. One day he arrived late at a barbecue.
He'd had no breakfast or lunch, and he was famished. As he moved down the serving line, he held out his plate and received one piece of chicken. The governor said to the serving lady, "Excuse me, do you mind if I get another piece of chicken. I'm very hungry."
"Sorry," the lady responder, "I'm supposed to give one piece to each person."
"But I'm starved," he repeated.
Again she said: "Only one to a customer."
Herter was normally a modest man, but he decided this was the time to use the weight of his office, and said, "Madam, do you know who I am? I am the governor of this state."
"Do you know who I am?" she answered. "I'm the lady in charge of chicken. Move along, mister."
Now personally, I would have probably given the governor an extra piece of chicken. However, the lady's stubbornness is noteworthy for two reasons. First, she knew who she was -- that is, the lady in charge of chicken. Second, she knew what her authority was -- that is, she diligently implemented the instructions given to her.
Christians need to be more like the chicken lady. They need to know who they are in Christ, that they have been filled with His Spirit and have received His power (Acts 1:8), they are joint heirs with Him (Romans 8:17), and are seated with Him in heaven (Ephesians 2:6). When we walk in the Spirit, we walk in His authority, we speak His words, and we do His acts. We are not intimidated by the powerful of this world, or by the powers of darkness. The devil should be intimidated by all Spirit-filled followers of Christ. Pastor John Hagee humorously says that when the devil sees us coming, "He should grab his Maalox and dial 9-1-1.
" When facing the giant, symbolic of Satan, David knew who he was. "David said to the Philistine, 'You come against me with sword and spear and javelin, but I come against you in the name of the LORD Almighty, the God of the armies of Israel, whom you have defied'" (1 Samuel 17:45, NIV).
Now, some 3,000 years later, we have the indwelling Christ and the revelations of the New Covenant. Like the chicken lady, let us walk in the knowledge of who we are and in the authority given to us in Christ.
Yours for fulfilling the Great Commission each year until our Lord returns,
Bill Bright
Dear Friends,
Do you know who you are in Christ, and your authority in Him?
There is an amusing story about the late Christian A. Herter, former U.S. Secretary of State, when he was running hard for reelection as Governor of Massachusetts. One day he arrived late at a barbecue.
He'd had no breakfast or lunch, and he was famished. As he moved down the serving line, he held out his plate and received one piece of chicken. The governor said to the serving lady, "Excuse me, do you mind if I get another piece of chicken. I'm very hungry."
"Sorry," the lady responder, "I'm supposed to give one piece to each person."
"But I'm starved," he repeated.
Again she said: "Only one to a customer."
Herter was normally a modest man, but he decided this was the time to use the weight of his office, and said, "Madam, do you know who I am? I am the governor of this state."
"Do you know who I am?" she answered. "I'm the lady in charge of chicken. Move along, mister."
Now personally, I would have probably given the governor an extra piece of chicken. However, the lady's stubbornness is noteworthy for two reasons. First, she knew who she was -- that is, the lady in charge of chicken. Second, she knew what her authority was -- that is, she diligently implemented the instructions given to her.
Christians need to be more like the chicken lady. They need to know who they are in Christ, that they have been filled with His Spirit and have received His power (Acts 1:8), they are joint heirs with Him (Romans 8:17), and are seated with Him in heaven (Ephesians 2:6). When we walk in the Spirit, we walk in His authority, we speak His words, and we do His acts. We are not intimidated by the powerful of this world, or by the powers of darkness. The devil should be intimidated by all Spirit-filled followers of Christ. Pastor John Hagee humorously says that when the devil sees us coming, "He should grab his Maalox and dial 9-1-1.
" When facing the giant, symbolic of Satan, David knew who he was. "David said to the Philistine, 'You come against me with sword and spear and javelin, but I come against you in the name of the LORD Almighty, the God of the armies of Israel, whom you have defied'" (1 Samuel 17:45, NIV).
Now, some 3,000 years later, we have the indwelling Christ and the revelations of the New Covenant. Like the chicken lady, let us walk in the knowledge of who we are and in the authority given to us in Christ.
Yours for fulfilling the Great Commission each year until our Lord returns,
Bill Bright
ปิ่นหายป่วยอย่างอัศจรรย์
ปิ่น' ทึ่ง! บาทหลวงรักษากระดูก กลับมามีชีวิตใหม่ ไม่ต้องผ่าตัด
'ปิ่น' ทึ่ง! บาทหลวงรักษากระดูก กลับมามีชีวิตใหม่ ไม่ต้องผ่าตัด
พร้อมอุทิศตนเพื่อพระเจ้า ตามบาทหลวงไปช่วยเหลือคนอื่นต่อ
แต่ยังหักโหมไม่ได้...
เจอะหน้าสาว ปิ่น-เก็จมณี วรรธนะสิน นักแสดงชื่อดัง
ภรรยาสุดเลิฟของเจ้าพ่อแรพเปอร์เมืองไทย เจ-เจต ริน ที่งาน
อีเอฟเอ็มฟันแฟร์ จึงขออัพเดตอาการ ป่วยล่าสุด
ซึ่งปิ่นเผยด้วยอาการดีใจว่า ไม่ต้องผ่าตัดแล้ว หลังประสบอุบัติเหตุตกม้า
เผยใช้วิธีรักษาโดยการเยียวยาทางเลือกใหม่ กับบาทหลวงท่านหนึ่ง
อาการ ตอนนี้เป็นอย่างไร "ดีขึ้นเรื่อยๆ เดินได้ ไปไหนมาไหนได้
แต่เดินนานไม่ได้ ขับรถได้ แต่ช่วงสั้นๆ ดีใจที่ไม่ต้องผ่าตัด
มันเป็นความเชื่อของปิ่นเอง
คือได้รักษาแบบทางเลือกเป็นการเยียวยากับบาทหลวง คอซี่
เป็นการเยียวยาผ่านพลังงานของพระเจ้า ทำให้กระดูกของปิ่นที่ตายไปส่วนใหญ่
กลับมามีชีวิตอีก" เดิมต้องเข้ารับการผ่าตัด "ใช่คะ
ไปรักษากับบาทหลวงแล้ว จากนั้นกลับไปหาแพทย์ที่ผ่าตัด แพทย์ไปเอกซเรย์
หมอตกใจบอกว่ากระดูกที่ตายไปแล้ว กลับมามีชีวิต หมอก็งง
ก็ถามปิ่นว่าไปทำไรมา แต่เราไม่ได้พูดอะไร หมอก็บอกไม่ต้องผ่าตัดแล้ว
เราก็อยากกรี๊ดมาก ตอนนี้อุทิศตนเพื่อพระเจ้าแล้ว ตามบาทหลวง
คอซี่ไปทุกที ท่านเป็นบาทหลวงมาจากฟิลิปปินส์
ปกติจะมาเมืองไทยรักษาปีละสองครั้ง ถ้าท่านมาปิ่นก็ไปช่วยท่าน
ทำงานตรงนี้ทำให้เรารู้ว่าความเจ็บปวดเป็นอย่างไร
ปิ่นรู้สึกดีเวลาที่ช่วยคนอื่นเขาดีขึ้นก็รู้สึกดีขึ้น"
เกิดอัศจรรย์ในร่างกาย "ปิ่นป่วยมา 6
เดือนเราเหมือนได้รักษาแบบการใช้พลัง
เป็นการรักษาตามแบบศาสนาคริสต์ที่มีกันมาหลายชั่วอายุคน
ทำให้กระดูกที่ตายไปแล้ว ก็กลับมามีชีวิต
เหมือนมีเลือดมาหล่อเลี้ยงอัศจรรย์ ไม่เชื่อก็ไม่ได้ ปิ่นไม่ได้เล่นของ
เชื่อหลักเป็นเหตุเป็นผล เห็นด้วยตามาแล้ว"
ร่างกายตอนนี้หักโหมได้มากขนาดไหน "หักโหมไม่ได้
วันหนึ่งทำกิจกรรมได้อย่างเดียว ถ้าใช้งานเยอะกระดูกที่จะต่อก็ไม่ต่อ
โดยเฉพาะด้านซ้ายที่ได้ผ่าเอาไว้ คือเป็นลักษณะที่เอากระดูกมาปั้น
แล้วติดกาวเอาไว้ ผ่าตัดข้างเดียว ซ้าย แต่ก็ไม่ต้องผ่าแล้ว
ถ้าไม่ได้ไปหกล้ม"
ดูภาพ http://www.thairath.co.th/content/ent/126978
What is love?
What is love?
"...though I have the gift of prophecy, and understand all mysteries and all knowledge, and though I have all faith, so that I could remove mountains, but have not love, I am nothing"
(1 Corinthians 13:2).
Love never gives up.
Love cares more for others than for self.
Love doesn't want what it doesn't have.
Love doesn't strut,
Doesn't have a swelled head,
Doesn't force itself on others,
Isn't always "me first,"
Doesn't fly off the handle,
Doesn't keep score of the sins of others,
Doesn't revel when others grovel,
Takes pleasure in the flowering of truth,
Puts up with anything,
Trusts God always,
Always looks for the best,
Never looks back
But keeps going to the end.
When I was an infant at my mother's breast, I gurgled and cooed like any infant. When I grew up, I left those infant ways for good.
"...though I have the gift of prophecy, and understand all mysteries and all knowledge, and though I have all faith, so that I could remove mountains, but have not love, I am nothing"
(1 Corinthians 13:2).
Love never gives up.
Love cares more for others than for self.
Love doesn't want what it doesn't have.
Love doesn't strut,
Doesn't have a swelled head,
Doesn't force itself on others,
Isn't always "me first,"
Doesn't fly off the handle,
Doesn't keep score of the sins of others,
Doesn't revel when others grovel,
Takes pleasure in the flowering of truth,
Puts up with anything,
Trusts God always,
Always looks for the best,
Never looks back
But keeps going to the end.
When I was an infant at my mother's breast, I gurgled and cooed like any infant. When I grew up, I left those infant ways for good.
How to be a wise person
The Men of Proverbs
Proverbs 1:5
The Men of Proverbs: The Wise Man Dictionary "WISE": Properly having knowledge: hence havmg the power of discerning and judging correctly, or of discrirninating between what is true and what is false. The discrete use or application of knowledge.Hebrew "WISE": To be wise in rnind, word, or act. Note: Knowledge + Understanding = Wisdom (Proverbs 2:6)
I. Actions of the Wise Man
- A. Listens.
- "A wise man will hear, and will increase learning; and a man of understanding shall attain unto wise counsels:" (Prov 1:5)
- 1. "Reprove not a scorner, lest he hate thee: rebuke a wise man, and he will love thee." (Prov 9:8)
2. "Give instruction to a wise man, and he will be yet wiser: teach a just man, and he will increase in learning." (Prov 9:9)
3. "The ear that heareth the reproof of life abideth among the wise." (Prov 15:31)
4. "A reproof entereth more into a wise man than an hundred stripes into a fool." (Prov 17:10)
5. "The rod and reproof give wisdom: but a child left to himself bringeth his mother to shame." (Prov 29:15)
- "He that gathereth in summer is a wise son: but he that sleepeth in harvest is a son that causeth shame." (Prov 10:5)
- 1. "The wise in heart will receive commandments: but a prating fool shall fall." (Prov 10:8)
2. "A wise son heareth his father's instruction: but a scorner heareth not rebuke." (Prov 13:1)
3. "Hear counsel, and receive instruction, that thou mayest be wise in thy latter end." (Prov 19:20)
- 1. "Wise men lay up knowledge: but the mouth of the foolish is near destruction." (Prov 10:14)
- 1. "In the multitude of words there wanteth not sin: but he that refraineth his lips is wise." (Prov 10:19)
2. "Even a fool, when he holdeth his peace, is counted wise: and he that shutteth his lips is esteemed a man of understanding." (Prov 17:28)
3. "A fool uttereth all his mind: but a wise man keepeth it in till afterwards." (Prov 29:11)
- "The fruit of the righteous is a tree of life; and he that winneth souls is wise." (Prov 11:30)
- 1. "The way of a fool is right in his own eyes: but he that hearkeneth unto counsel is wise." (Prov 12:15)
2. "Only by pride cometh contention: but with the well advised is wisdom." (Prov 13:10)
3. "Hear counsel, and receive instruction, that thou mayest be wise in thy latter end." (Prov 19:20)
- "He that walketh with wise men shall be wise: but a companion of fools shall be destroyed." (Prov 13:20)
- "A wise man feareth, and departeth from evil: but the fool rageth, and is confident." (Prov 14:16)
- "Wine is a mocker, strong drink is raging: and whosoever is deceived thereby is not wise." (Prov 20:1)
- "Whoso keepeth the law is a wise son: but he that is a companion of riotous men shameth his father." (Prov 28:7)
- 1. "Counsel is mine, and sound wisdom: I am understanding; I have strength." (Prov 8:14)
2. "In the lips of him that hath understanding wisdom is found: but a rod is for the back of him that is void of understanding." (Prov 10:13)
3. "It is as sport to a fool to do mischief: but a man of understanding hath wisdom." (Prov 10:23)
4. "Wisdom resteth in the heart of him that hath understanding: but that which is in the midst of fools is made known." (Prov 14:33)
5. "Wisdom is before him that hath understanding; but the eyes of a fool are in the ends of the earth." (Prov 17:24)
- 1. "The fear of the LORD is the beginning of wisdom: and the knowledge of the holy is understanding." (Prov 9:10)
2. "The wisdom of the prudent is to understand his way: but the folly of fools is deceit." (Prov 14:8)
3. "The wise in heart shall be called prudent: and the sweetness of the lips increaseth learning." (Prov 16:21)
- "He that is void of wisdom despiseth his neighbour: but a man of understanding holdeth his peace." (Prov 11:12)
- 1. "I wisdom dwell with prudence, and find out knowledge of witty inventions." (Prov 8:12)
2. "The wisdom of the prudent is to understand his way: but the folly of fools is deceit." (Prov 14:8)
3. "The wise in heart shall be called prudent: and the sweetness of the lips increaseth learning." (Prov 16:21)
- A. Fair and Just.
- 1. "The mouth of the just bringeth forth wisdom: but the froward tongue shall be cut out." (Prov 10:31)
2. "These things also belong to the wise. It is not good to have respect of persons in judgment." (Prov 24:23)
- "Scornful men bring a city into a snare: but wise men turn away wrath." (Prov 29:8)
- "When pride cometh, then cometh shame: but with the lowly is wisdom." (Prov 11:2)
- A. Receives Honour
- 1. "Length of days is in her right hand; and in her left hand riches and honour." (Prov 3:16)
2. "The wise shall inherit glory: but shame shall be the promotion of fools." (Prov 3:35)
- 1. "The proverbs of Solomon. A wise son maketh a glad father: but a foolish son is the heaviness of his mother." (Prov 10:1)
2. "A wise son maketh a glad father: but a foolish man despiseth his mother." (Prov 15:20)
3. "My son, if thine heart be wise, my heart shall rejoice, even mine." (Prov 23:15)
4. "The father of the righteous shall greatly rejoice: and he that begetteth a wise child shall have joy of him." (Prov 23:24)
5. "My son, be wise, and make my heart glad, that I may answer him that reproacheth me." (Prov 27:11)
6. "Whoso loveth wisdom rejoiceth his father: but he that keepeth company with harlots spendeth his substance." (Prov 29:3)
- 1. "For whoso findeth me findeth life, and shall obtain favour of the LORD." (Prov 8:35)
2. "The king's favour is toward a wise servant: but his wrath is against him that causeth shame." (Prov 14:35)
3. "He that handleth a matter wisely shall find good: and whoso trusteth in the LORD, happy is he." (Prov 16:20)
- "Length of days is in her right hand; and in her left hand riches and honour." (Prov 3:16)
- "Length of days is in her right hand; and in her left hand riches and honour." (Prov 3:16)
- "Her ways are ways of pleasantness, and all her paths are peace." (Prov 3:17)
- G. Has Happiness.
- 1. "Happy is the man that findeth wisdom, and the man that getteth understanding." (Prov 3:13)
2. "She is a tree of life to them that lay hold upon her: and happy is every one that retaineth her." (Prov 3:18)
- "Forsake her not, and she shall preserve thee: love her, and she shall keep thee." (Prov 4:6)
- "So shall the knowledge of wisdom be unto thy soul: when thou hast found it, then there shall be a reward, and thy expectation shall not be cut off." (Prov 24:14)
- "He that trusteth in his own heart is a fool: but whoso walketh wisely, he shall be delivered." (Prov 28:26)
http://www.brandonweb.com/sermons/sermonpages/proverbs1.htm
พระรับเงินทองถวายได้หรือไม่
...ได้มีกลุ่มพุทธศาสนิกชนยื่นแผ่นพับรณรงค์ต่อนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รมว.วัฒนธรรม เกี่ยวกับขอให้หยุดทำร้ายพระพุทธศาสนา หยุดทำบาปให้แก่ตนเอง หยุดถวายทอง เงินแด่พระภิกษุและสามเณร ซึ่งในเอกสารรณรงค์ได้ระบุถึงการถวายเงิน ทองแด่พระภิกษุ สามเณรว่าผิดพระบัญญัติ โดยมีการอ้างอิงจากพระไตรปิฎกเล่ม 3 หน้า 940 เล่มสีน้ำเงิน และเล่ม 3 หน้า 887 เล่มสีแดง ถึงพระบัญญัติที่พระพุทธองค์ได้ระบุไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงยกสิขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ อนึ่งภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง-เงิน หรือยินดีทอง-เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ก็ดี เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ต้องอาบัตินิสสัคคีย์ ต้องสละสิ่งของนั้นออกไป จึงจะพ้นโทษ ทั้งนี้ แผ่นพับรณรงค์ได้ระบุโทษของการทำผิดนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ต้องตกโรรุวนรก 1 ชั่วอายุ คือ 4,000 ปี ซึ่งพุทธศาสนิกชนที่ทำผิดกับพระเพราะถวายสิ่งของที่ผิดพระวินัยก็ต้องโทษเหมือนกับพระแต่ได้รับโทษเบากว่า และท้ายเอกสารยังได้ระบุที่มาของเอกสารว่ามาจากสำนักสงฆ์ป่าสามแยก บ้านห้วยยางทอง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ยอมรับว่า คำสอน และพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ระบุไว้ว่า ให้พระภิกษุละเว้นจากลาภ ชื่อเสียง เงิน ทอง จริง แต่ขึ้นอยู่กับเจตนาด้วยว่า พระสงฆ์ยินดีในเงินทองนั้นหรือไม่ แล้วนำไปใช้อะไร ซึ่งตามหลักความเป็นจริงแล้วสมมติว่า หากวัดชำรุดแล้วพระสงฆ์ไม่รับเงินบริจาคจากประชาชน จะเอาเงินที่ไหนมาบูรณปฏิสังข์รวมทั้งจะพัฒนาพระพุทธศาสนา ซึ่งจะต้องมองเจตนาว่าเป็นอย่างไร แต่ถ้าหากพระรูปนั้น โลภ รับเงินบริจาคมาเพื่อใช้ในเรื่องส่วนตัว ก็ถือว่าผิด ข่าวคริสตชน ๑๐ พ.ย.๒๐๑๐
รอดชีวิตด้วยศรัทธาและอดทน
รอดชีวิตด้วยศรัทธาและอดทน
ช่วงเวลานี้โลก เผชิญกับภัยพิบัติมากมายและรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง
ซึ่งผลกระทบนั้นก็มีมากขึ้นทุกที ก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
เช่นประเทศอินโดนีเซียที่ต้องเจอกับสึนามิและภูเขาไฟระเบิด
ส่วนประเทศไทยเราที่เจอภัยแล้งยังไม่ทันไร ก็ต้องมาเจอกับอุทกภัยอีก
แต่ท่ามกลางภัยพิบัตินี้
ได้เห็นว่าเราคนไทยก็แสดงน้ำใจตอบสนองให้ความช่วยเหลือแก่เพื่อนคนไทยด้วย
กันที่ตกทุกข์ได้ยากอย่างรวดเร็ว
ด้วยกำลังทรัพย์และกำลังกายช่วยกันนำสิ่งของไปมอบให้กับพวกเขาจนถึงที่
บางพื้นที่ถนนถูกตัดขาด น้ำท่วมสูง
ก็มีหลายคนลุยน้ำและพายเรือเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนได้
น้ำใจของพี่น้องคนไทยที่ได้ให้ความช่วยเหลือกันนี้เป็นที่พอพระทัยพระ
เจ้า ดังตัวอย่างที่พบในพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่
ตอนที่นายร้อยคนหนึ่งซึ่งเป็นทหารโรมันชื่อ โครเนลิอัส
ท่านประจำการอยู่ที่ประเทศอิสราเอล
การอธิษฐานและการทำทานของท่านเป็นเหตุให้พระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของท่าน
(กิจการ 10:4) โครเนลิอัสจ้องมองทูตองค์นั้นด้วยความตกใจกลัว และถามว่า
"นี่หมายความถึงอะไร ท่านเจ้าข้า?" ทูตสวรรค์จึงตอบท่านว่า
"คำอธิษฐานและการให้ทานของท่านขึ้นไปถึงพระเจ้าเป็นเหตุให้พระองค์ทรงระลึก
ถึงท่านแล้ว" ทูตสวรรค์จึงบอกโครเนลิอัสส่งคนไปหาอัครทูตเปโตร
ท่านก็เชื่อฟังทูตสวรรค์นั้น และได้ส่งคนไปเชิญเปโตรมายังบ้านของท่าน
และเมื่อเปโตรมาถึง
ท่านก็ได้อธิบายความจริงเรื่องความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์
โครเนลิอัสและเพื่อนของท่านที่ร่วมฟังคำเทศนาของเปโตรก็ได้รับความรอดในวัน
นั้น ความดีที่โครเนลิอัสไม่สูญเปล่า
เพราะท่านได้ตอบสนองต่อความรักของพระเจ้าที่ได้มอบให้แก่ท่าน
เรื่องราวทำนองเดียวกันนี้ก็ได้เกิดขึ้นในสมัยนี้ด้วยเช่นกัน
คนทั่วโลกต่างก็ได้ยินเรื่องราวของคนงานเหมือง 33
คนที่ติดอยู่ในเหมืองที่ประเทศชิลีนานถึง 69 วัน
พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากคนจำนวนมากจนรอดออกมาได้ทั้งหมด
ประสบการณ์ความทุกข์ยากและศรัทธาอันแรงกล้าของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้า
การพึ่งพาความช่วยเหลือจากพระเจ้าเป็นแรงบันดาลใจให้คนจำนวนมากมีความเชื่อ
เช่นเดียวกับพวกเขา
แอนเดรส ซูกาเรต หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการช่วยชีวิต
ซึ่งเป็นคนงานเหมืองคนที่ 24 ที่ได้รับการช่วยเหลือออกมา
ได้เล่าประสบการณ์ตอนที่พวกเขาติดอยู่ในเหมืองว่า
"เราร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า . เราทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัย .
และทุกคนยอมรับพระองค์ . หลายคนคืนดีกับพระเจ้า บางคนทำสัญญากับพระ
องค์ ช่วงเวลาแห่งการอธิษฐาน, การอ่านพระคัมภีร์
เป็นช่วงเวลาที่พิเศษที่สุดสำหรับคนงานเหมือง
เพราะมันเป็นเวลาเดียวที่พวกเขาได้มาอยู่ร่วมกัน, มี 12 คนในตอนกลางวัน
และ 6 คนในตอนค่ำ พวกเขามาอยู่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน"
มาริโอกล่าวไว้เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2010 ว่า
"ผมอยู่กับพระเจ้าและปิศาจ พระเจ้ากับปิศาจต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตัวผม
และพระเจ้าเป็นผู้ชนะ ผมรู้ว่าพวกเขาจะพาผมออกไป
ผมมีความเชื่ออยู่เสมอในความเป็นมืออาชีพของชิลีและในพระผู้สร้างผู้ยิ่ง
ใหญ่ เราทั้ง 33 คนเดินจูงมือไปกับพระเจ้า"
คนเหล่านี้รอดชีวิตเพราะพวกเขามีความเชื่อในพระเจ้า
และมีความหวังว่าจะได้รับการช่วยเหลืออย่างแน่นอน
พวกเขารู้ว่าชีวิตของพวกเขาอยู่ในกึ่งกลางระหว่างความเป็นกับความตาย
พวกเขามั่นใจในความรักของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา
และพวกเขามั่นใจในฤทธานุภาพของพระเจ้าเหนือความตาย ดังนั้น
พวกเขาจึงมีความหวัง ถึงแม้จะต้องรอคอยความช่วยเหลือเป็นเวลานาน
ผมหวังว่าชาวชิลีทั้ง 33
คนนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายคนที่ประสบความทุกข์ยาก
ที่จะมีความหวังและความอดทนในการรอคอยความช่วยเหลือจากพระเจ้า
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 284 วันที่ 6 - 12
พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 หน้า 27 คอลัมน์ พระวจนธรรม โดย ศจ.ดร.เสรี
หล่อกัณภัย
พิษภัยของสุรา คนตายเพราะกินเหล้ามากกว่าทำสงครามทุกปี
พิษภัยของการดื่มสุรา คนตายเพราะกินเหล้ามากกว่าทำสงครามทุกปี This album has 1 photo and will be available on SkyDrive until 01/30/2011. |
นักวิจัยอังกฤษระบุว่า สุราเป็นสารเสพติดอันตรายที่สุดเมื่อคำนึงถึงผลร้ายที่เกิดขึ้นกับผู้ดื่มและสังคม MCOT Online ลอนดอน 1 พ.ย.- นักวิจัยอังกฤษระบุว่า สุราเป็นสารเสพติดอันตรายที่สุดเมื่อคำนึงถึงผลร้ายที่เกิดขึ้นกับผู้ดื่มและสังคม คณะนักวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย คณะกรรมการวิทยาศาสตร์อิสระว่าด้วยยาเสพติดและที่ปรึกษาศูนย์สังเกตการณ์ยาเสพติดและการติดยายุโรป ได้จัดทำตารางอันดับความอันตรายของสารเสพติดขึ้นใหม่ เพราะการจำแนกประเภทสารเสพติดในปัจจุบันไม่คำนึงถึงอันตรายเท่าใดนัก ตารางใหม่จัดให้สุราอันตรายเป็นอันดับหนึ่ง เฮโรอีน อันดับ 2 โคเคนสำหรับสูบ หรือสูดควัน อันดับ 3 เห็ดเมา อันดับ 5 แอลเอสดี อันดับ 7 เอ็กตาซี หรือยาอี อันดับ9 แวเลี่ยม หรือยานอนหลับ อันดับ 15 กัญชา อันดับ 20 แอมเฟตามีน อันดับ 23 ยาสูบ อันดับ 26 การจัดอันดับคำนึงถึงอันตรายต่อผู้เสพ เช่น การเสียชีวิต การติดยา การสูญเสียความสัมพันธ์กับผู้อื่น และอันตรายต่อสังคม เช่น อาชญากรรม ความขัดแย้งในครอบครัว ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ความแตกแยกของชุมชน องค์การอนามัยโลกประเมินว่า สุราเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตปีละ 2.5 ล้านคน จากโรคหัวใจ โรคตับ อุบัติเหตุบนถนน การฆ่าตัวตาย และมะเร็ง คิดเป็นร้อยละ 3.8 ของการเสียชีวิตทั่วโลก และเป็นสาเหตุอันดับ 3 ที่ทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรและพิการ.-สำนักข่าวไทย
key words: การดื่มสุรา โทษภัยของการดื่มสุรา คริสเตียนกับการดื่มสุรา การเมาสุรา
คริสเตียนกินเหล้าได้หรือเปล่า
แหล่งข่าว ส่งต่อ 1 ต.ค.2010
[ข่าวคริสตชน www.KaoChristian.com] นักวิจัยอังกฤษระบุว่า สุราเป็นสารเสพติดอันตรายที่สุดเมื่อคำนึงถึงผลร้ายที่เกิดขึ้นกับผู้ดื่ม และสังคม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)