สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ว่า นางเดเลีย น็อกซ์ ผู้ป่วยอัมพาตนั่งเก้าอี้รถเข็นเป็นเวลากว่า 23 ปี จากเหตุการณ์ประสบอุบัติเหตุถูกคนเมาขับรถชน ในช่วงวันคริสต์มาส เมื่อปี 1987 พานพบปาฎิหาริย์ขึ้นกับตัวเอง ภายหลังเข้าร่วมเหตุการณ์ด้านจิตวิญญาณขอพรจากพระเจ้า ในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ทางคริสต์ศาสนา ในเมืองโมบิล รัฐอลาบาม่า โดยหลังจากที่นักบวชชาวอังกฤษสวดมนต์ให้แก่เธอ ปรากฎว่า เธอสามารถลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้รถเข็นได้โดยมีผู้ช่วยพยุงตัวในเบื้องแรก และสามารถเดินได้เองอย่างเป็นปกติ
รายงานระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวถูกบันทึกภาพแพร่ลงในเว็บไซต์ยอดนิยม"ยูทิวบ์"และมีผู้ เข้ามาชมแล้วกว่า 2 แสนคน ขณะที่เจ้าตัวบอกว่า เหตุการณ์ดังกล่าวได้พลิกชีวิตของเธอ เพราะเดี๋ยวนี้เธอสามารถเข้าครัวและเดินรอบบ้านได้ และเธอรู้สึกทึ่งที่ได้เห็นอำนาจของพระเจ้าที่ปรากฎในชีวิตของเธอและทั่วโลก ที่ทำให้เกิดปาฎิหาริย์ขึ้น
จากเว็บ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1292998189&grpid=03&catid=03
ดูวีดีทัศน์ที่นี้ จากยูทูปส์
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการหายโรคอย่างอัศจรรย์ และเมืองไทยเราก็มีมากมาย จากเว็บนี้
http://reewat.blogspot.com
กลับไปหน้าแรก
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปัน และส่งเสริมความรู้ ความเชื่อ ความเข้าใจ ในเรื่องทั่วไป ทั้งศาสนา วัฒนธรรม และสังคม โดย อาจารย์รีวัฒน์ เมืองสุริยา MA, Mdiv, BA,[ My web: {http://reewat.blogspot.com} { www.idmt.org} ]
ความกลัว
กลัวเพราะขาดความเชื่อ?
ความกลัวกำลังเกิดขึ้นและครอบงำจิตใจของคนจำนวนมากในปัจจุบัน
สิ่งที่เราควรเรียนรู้ในวันนี้คือการจัดการอย่างไรกับความกลัวที่กำลังเกิดขึ้น
การก่อการร้ายก็ได้สร้างผลในจิตใจของคนส่วนใหญ่คือทำให้เกิดความกลัว
ใครที่อยู่ในอาคารสูงๆ
หรือต้องเดินทางโดยสารเครื่องบินหรืออยู่ในเมืองใหญ่ๆ เช่น นิวยอร์ก
ชิคาโก วอชิงตัน ดี.ซี.
อาจกำลังมีความกลัวจนทำให้ตนเองอยู่อย่างไม่เป็นสุขและมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของตน
ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เราขึ้นเครื่องบินก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี
เพราะถือว่าเราเป็นแขกผู้มีเกียรติที่ต้องให้การบริการ
แต่บัดนี้อาจตรงกันข้าม
เพราะมีการสงสัยหรือตั้งข้อสังเกตว่าผู้โดยสารบางคน
หรือแขกบางท่านอาจมาก่อวินาศกรรม
เรามีความเคยชินกับการที่ต่างฝ่ายต่าง
รักษาระเบียบไม่ล่วงละเมิดกันจึงไม่คิดกันเลยว่า
จะมีเหตุร้ายที่ทำให้ตกอกตกใจหรือทำให้ตนเอง
ต้องอยู่ในความกลัว
บ้านส่วนใหญ่ที่เราอาศัยอยู่ก็ไม่มีรั้วใครก็ได้อาจเดินเข้ามา
ที่หน้าต่างห้องนอนหรือใช้ค้อนทุบเข้ามาได้
ถ้าเราคิดว่ามีใครตั้งใจจะมาปล้นหรือทำร้ายเรา
การเป็นอยู่ของเราหรือการหลับนอนก็จะไม่สนิทและไม่อาจอยู่เป็นสุขได้
ผมเคยทำงานที่คริสตจักรสะพานเหลืองที่กรุงเทพฯ
ซึ่งหากใครเคยไปก็ได้เห็นถึงคนทุกประเภทได้เข้ามา
แออัดประชุมนมัสการในโบสถ์ที่มีเนื้อที่จำกัด
แต่ละอาทิตย์ก็ผ่านไปด้วยความเรียบร้อยเพราะทุกคน
ต่างก็รักษาระเบียบและไม่ก้าวก่ายกัน
อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนผมจากต่างคริสตจักรได้ไปร่วมนมัสการที่|
คริสตจักรและบังเอิญไปนั่งในบริเวณที่มีสุภาพสตรีจำนวนมากนั่งกัน
เขาได้สังเกตและเกิดความสงสัยว่า
ทำไมเมื่อนักเทศน์ได้เชิญให้ที่ประชุมยืนขึ้นตอนหลังการเทศนาเพื่อร่วมใจกันอธิษฐาน
บรรดาสุภาพสตรีทุกคนที่ดูมีฐานะก็ได้ยืนขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
และต่างก็รวบกระเป๋ามาถือไว้ที่ข้างตัว บางท่านก็หนีบไว้ที่ใต้รักแร้
ผมได้อธิบายทีหลังให้เพื่อนฟังว่า
ครั้งหนึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในที่ประชุมและมานั่ง
ม้านั่งแถวหลังสุภาพสตรีที่ดูมีฐานะที่วางกระเป๋าถือ
ที่ดูมีค่าไว้ที่ม้านั่งข้างตัว
พออาจารย์เชิญให้ยืนขึ้นอธิษฐานและในขณะที่
ทุกคนกำลังปิดตาร่วมใจอธิษฐานอยู่
ผู้หญิงคนนั้นก็หยิบกระเป๋าถือนั้นแล้วเดินออกจาก
ที่ประชุมไปโดยที่ไม่มีใครที่อยู่รอบๆได้ทันรู้เนื้อรู้ตัว
แม้เดินผ่านสัมพันธกิจที่หน้าประตูทางออกก็ไม่มีใคร
สงสัยว่าผู้หญิงนั้นได้มาขโมยกระเป๋าถือไป
กลับเข้าใจว่าผู้หญิงคนนั้นคงมีธุระต้องรีบไปจึงไม่ได้เอะใจอะไร
ต่อมาคริสตจักรจึงต้องจัดคนบางคนเปิดตาคอยดู
สถานการณ์โดยเฉพาะเวลาที่คนส่วนใหญ่กำลังหลับตาอยู่
หากเราต้องตกอยู่ในความกลัวในสิ่งที่เราเคยคุ้นเคย
สภาพเช่นนั้นเป็นการบั่นทอนชีวิตของเราโดยตรง
เช่นหากเรากินข้าวทุกวันทุกมื้อ
แต่ต่อมามีคนมาบอกว่ากินข้าวแล้วเป็นมะเร็ง แล้วเราก็หลงเชื่อเช่นนั้น
ความกลัวก็จะครอบงำทำให้การกินของเราและวงจรชีวิตที่เราเคยทำกันอย่างปรกติก็เกิดความปั่นป่วนขึ้นมาทันที
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรากลัวก็เพราะเราไม่ได้มีการเตรียมพร้อม
มีความชะล่าใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เรามีความเข้มแข็งและมีพวกมากจึงทึกทักว่าปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์
สำนึกผิดว่าเรื่องร้ายแรงจะไม่เกิดขึ้นกับฉันแน่
ถ้ามีภัยอันตรายต้องเกิดขึ้นกับคนอื่นโดยเฉพาะคนอื่นที่ชั่วร้าย
ในพระธรรมมาระโก 4:35-41
ได้พูดถึงการแล่นเรือของบรรดาสาวกที่มีพระเยซู
ทรงประทับอยู่ในเรือด้วยแม้ว่ามีพระอาจารย์อยู่ด้วย
และมีเรือลำอื่นๆแล่นไปด้วยกันเป็นขบวน
แต่เมื่อต้องเผชิญกับพายุใหญ่ซึ่งเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด
จนคลื่นทะเลซัดเอาน้ำทะเลเข้าเรือจวนจะเต็มลำ
ในขณะนั้นพวกสาวกต่างตกใจกลัวแม้พระอาจารย์
ทรงประทับอยู่ด้วยหรือมีคนมากๆไปด้วยกันก็ตาม
สิ่งที่ทำให้พวกเขากลัวมากก็เพราะการมองดูรอบข้าง
และการเห็นพระเยซูนอนเฉยที่ท้ายเรือ
ซึ่งไม่ได้แสดงความวิตกสะทกสะท้านใดๆ
ลักษณะเช่นนี้คือความกลัวที่ขาดความ
เชื่อวางใจแม้พระเยซูทรงสถิตกับพวกเขาก็ตาม
ความกลัวได้ทำให้พวกเขาขาดสติ
ยิ่งได้เห็นพระเยซูนิ่งเฉยก็ยิ่งกลัว
พวกเขาได้ต่อว่าพระเยซูที่นิ่งเฉยว่า
"ข้าพเจ้าทั้งหลายกำลังจะจมอยู่แล้ว
ท่านไม่เป็นห่วงบ้างหรือ"
ความจริงการมีความกลัวอาจเป็นสิ่งดี
ถ้าความกลัวนั้นไม่เป็นนายหรือควบคุมสติของเราจนหมดสิ้น
ความกลัวเป็นการทำให้เราเกิดความกระตือรือร้น
มีความตื่นตัวเป็นการเตือนเราว่ากำลังมีภัยใกล้เข้ามา
และเราจะต้องระวังตื่นตัวเสมอ
ความกลัวเป็นเหมือน defense mechanism
หรือกลไกที่กระตุ้นให้เราเตรียมพร้อมที่จะปกป้องภัยอันตราย
หรือเป็นการทำให้เรารู้ตัวล่วงหน้าว่าจะมีภัยหรือมีอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
ตรงกันข้าม หากมีความกลัวที่ไม่อาจควบคุมได้
หรือเราถูกความกลัวครอบงำจนหมดสิ้น
ก็จะมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกและการใช้เหตุใช้ผลของเราทันที
ถ้าความกลัวกลายเป็นนายก็จะทำให้เราสูญเสีย
ความสามารถในการใช้ปัญหาและเหตุผล
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 287 วันที่ 27 พฤศจิกายน -
3 ธันวาคม พ.ศ. 2553 หน้า 27 คอลัมน์ พระวจนธรรม โดย ศจ.ดร.มนตรี โมเสส
ธิติภา
This album has 1 photo and will be available on SkyDrive until 03/02/2011. |
Gays in China want government to allow them to marry.
|
คนรักปลา ปลาตัวละเป็นล้านยังซื้อ บ้าหรือเปล่า?
ผมไม่ได้บ้า ...เสียงจากปากคนที่ตั้งราคาขาย ปลามังกรเกือบ 10 ล้าน
แหล่งที่มา : ไทยรัฐ 2010-11-18 10:23:23
หนุ่ม ที่หลายคนว่าเพี๊ยน ตั้งราคาขายปลามังกรหรืออะโรวาน่าราคาเกือบ 10 ล้าน รถบีเอ็มคันงาม บ้านสุดหรู พระสมเด็จฯ ใครมีอยากได้ปลามาแลกได้
ราคา แพงกว่าซื้อรถ หรือคอนโดมิเนียมเสียอีก สำหรับเจ้าปลาอะโรวาน่าของร้าน CCN ชัยนำโชค ตลาดนัดซันเดย์ ซึ่งด้วยสายพันธุ์ของปลาชนิดนี้ก็มีต้นทุนการเลี้ยงที่แสนแพงอยู่แล้ว ความนิยมเลยอยู่ในกลุ่มพวกเศรษฐีมากกว่า เพราะเชื่อกันว่าปลาสายพันธุ์นี้เป็นสัตว์ที่สร้างความมงคลให้ชีวิต โดยเจ้าของปลา พี่ชัย -ชาญชัย นาคประสิทธิ์ บอกว่ารักมาก รองจากครอบครัวเลยก็ว่าได้
"ปลา ตัวนี้ไปๆมาๆ 3 รอบแล้ว ตอนยังเล็กๆ ขายไป 3.5 แสนบาท และซื้อกลับมา 5 แสนกว่าบาท และก็ขายไปอีก พอซื้อกลับมาราคา 1.2 ล้าน ตอนนี้เลยไม่อยากขายแล้ว แต่ถ้าใครซื้อก็ต้องราคาตามนี้ครับ 8.8 ล้านบาท ก็มีคนติดต่อมานะ เคยให้ราคาผม 4-5 ล้านบาท แต่ผมไม่ขายนะ เพราะไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร หนี้สินที่เคยมีเกือบ 100 กว่าล้าน สมัยที่ผมทำธุรกิจเจ๊งก็เคลียร์เกือบหมดแล้วด้วย ผมเลยจะเลี้ยงเขาไปเรื่อยๆ ถ้าได้ราคาที่ตั้งค่อยว่ากันอีกที"
เจ้าอะโรวาน่าสีงาช้างตัวนี้ ถือว่ามีความผูกพักกับพี่ชัยมาก เขาบอกว่าเห็นมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ อีกทั้งปลาตัวนี้เป็นสัตว์มงคลด้วย เลยมีความภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ
"อะไร ก็ตามที่เป็นของแปลกและคนอื่นไม่มี ถ้าเป็นของเรามันก็มีคุณค่าทั้งนั้น ยิ่งเป็นสิ่งมงคลด้วยมันก็ยิ่งทำให้รู้สึกภูมิใจนะ ปลาตัวนี้ทำให้ผมมีความสุข เพราะเรามีของดีที่คนอื่นไม่มี ตอนนี้เรียกว่ารักเขารองๆ จากเมียและลูก ก็คอยให้อาหารสม่ำเสมอ เพราะตัวเขาตอนนี้ยังโตไม่เต็มที่นะ อะโรวาน่าจริงๆ ถ้าโตสุดๆ เกือบเมตร และมีอายุร่วม 70 ปี คือพอๆ กับคนเลย"
นอกจากมีปลาอะโรวาน่าราคา เหยียบ 9 ล้านแล้ว ในร้านยังมีสัตว์แปลกๆ ชนิดอื่นที่เป็นสัตว์มงคล และเป็นของแปลกอีกนับไม่ถ้วน และได้สร้างเม็ดเงินให้กับเขาอย่างมหาศาล แต่กว่าจะมีวันนี้ได้ซึ่งเจ้าของร้าน CCN ชัยนำโชคได้เล่าถึงเริ่มแรกที่หันมาเลี้ยงปลามงคลว่า
"จริงๆ ผมไม่ได้เป็นคนชอบเลี้ยงสัตว์อะไรหรอก แต่เมื่อปี 40 ธุรกิจที่ผมทำมันเจ๊ง แล้วตอนนั้นผมมีหนี้เกือบ 100 ล้าน เครียดมากๆ จนมีอยู่คืนนึงพ่อมาเข้าฝันบอกให้เลี้ยงปลาจะดีขึ้น ผมก็เลยลองดู แต่ช่วงแรกผมก็ทำแต่ไม่ใช่ปลาสวยงาม และเรายังไม่มีความรู้ มันก็ทุลักทุเลบ้าง พอเปลี่ยนมาเลี้ยงปลาสวยงาม และรู้วิธีการดูแลจนชำนาญก็เริ่มดีขึ้นมาเรื่อยๆ ร้านผมตอนนี้เลยเปิดตลอดมา 8 ปีกับอีก 11 เดือน ไม่เคยปิดร้านเลยครับ และผมก็เชื่อเรื่องฮวงจุ้ยด้วย เลยจัดร้านให้มีแต่สิ่งมงคลเพราะเราขายสิ่งที่เป็นมงคล"
ถึงจะเป็น สัตว์เลี้ยง แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์มงคลด้วยแล้ว การจะได้มาเป็นเจ้าของคงต้องสำหรับคนกระเป๋าหนัก ซึ่งพี่ชัยบอกว่าถ้าอยากเลี้ยงจริงๆ อย่างต่ำก็เตรียมไว้เลย 100,000 บาท!
"สำหรับคนที่ชอบปลา อะโรวาน่าจริงๆ และอยากเลี้ยงมาก อย่างต่ำเลยนะต้องมีคือ 1 แสนบาท แต่ที่ร้านผมบางคนที่ชอบแต่ไม่อยากเสียเงินเขาก็จะเอาของมาแลกอย่างพวกพระ เครื่อง หรือสัตว์แปลกๆ ที่ผมดูแล้วถูกใจ ถ้าราคาต่อรองกันแล้วโอเคก็จะแลกกัน คือไม่จำเป็นต้องมาเป็นเงินตลอดครับ อย่างล่าสุดผมก็เพิ่งเอาปลาอะโรวาน่าสีทองกับสีแดงแลกกับพระสมเด็จองค์ละ 5 ล้านไปเอง"
เป็น การสร้างความมงคลที่ใช้เม็ดเงินสูงทีเดียว ของแบบนี้ไม่รวยจริงอย่าได้หวัง ส่วนราคาจะดูสมเหตุสมผลหรือไม่นั้น อันนี้ต้องวัดจากความพอใจล้วนๆ จริงๆ
ชาวเขมรเหยียบกันตาย ๓๓๙ ศพ งานลอยกระทง ๒๕๕๓
ฺBlack Loy Krathong Day, Nov 22, 2010
คนเขมรตื่นเหยียบกันตาย 345 ศพงานลอยกระทง (ไอเอ็นเอ็น)
พบผู้เสียชีวิตกว่า 300 คน ในวันประเพณีลอยกระทงประจำปีใน กัมพูชา หลังเกิดเหตุโกลาหล เหยียบกันเละ ด้านสมเด็จฮุนเซนเร่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ พร้อมประกาศลดธงครึ่งเสา เพื่อเป็นการไว้อาลัยในวันนี้
เหตุการณ์ เกิดขึ้น บนสะพานที่เชื่อมระหว่างเกาะเพชร ที่ทอดตัวยาว ตามแนวทะเลโตนเลสาบ กับแผ่นดินใหญ่ เมื่อเวลาประมาณ 21.30 น. ช่วงค่ำวานนี้ (22) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของงานเทศกาลลอยกระทง วันประเพณีประจำปีของประเทศกัมพูชา ในช่วงวันเพ็ญเดือน 12 ในขณะที่มีผู้คนอัดแน่น อยู่บนเกาะและสะพานดังกล่าว โดยพยานผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า ฝูงชนเริ่มตกใจ เมื่อมีคนหมดสติล้มลงกับพื้น และสถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงอีก เมื่อมีคนจำนวนมาก รีบแย่งกันข้ามสะพานที่เชื่อมระหว่างเกาะ จนตกลงไปในน้ำ
หลังเกิดเหตุ สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น ว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 180 ราย และบาดเจ็บอีกนับร้อยคน ขณะที่ยังไม่เป็นที่แน่ชัด ถึงสิ่งที่ก่อให้เกิดความแตกตื่น และจะจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ผู้เสียชีวิตอาจจะเพิ่มมากขึ้น หลังผู้ได้รับบาดเจ็บหลายรายมีอาการแย่ลง และสิ่งอำนวยความสะดวกทางการแพทย์ที่มีอยู่อย่างจำกัด
ทั้งนี้จากการคาดการณ์ของหน่วยงานต่าง ๆ คาดว่า น่าจะมีผู้เดินทางมาร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลลอยกระทง ซึ่งกินระยะเวลา 3 วัน ที่กรุงพนมเปญ ราว 2 ล้านคน
ต่อ มา เมื่อเวลาประมาณ 02.30 น. สมเด็จฮุนเซน กล่าวให้สัมภาษณ์สดทางโทรทัศน์ ว่ายอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 339 ราย โดยบางสำนักข่าวรายงาน ยอดผู้เสียชีวิตที่ 345 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 400 คน ซึ่งถูกส่งตัวไปรักษายัง 5 โรงพยาบาล ใกล้เคียง พร้อมทั้งกำหนดวันไว้ทุกข์ในวันนี้ (23 พ.ย.) เพื่อเป็นวันไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิต โดยจะมีการลดธงลงครึ่งเสาร์ทั่วประเทศ เพื่อส่งความเสียใจไปยังครอบครัวผู้ประสบเหตุ ขณะที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยยังทำการค้นหาผู้ที่กระโดดลงมาจากสะพาน ซึ่งไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา
ประโยชน์ของการดื่มเบียร์?
มีคนฟอร์เวิร์ดเมล์ เรื่องประโยขน์ของการดื่มเบียร์ให้ผม
ผมเลยเอามาเผยแพร่์ ดูว่ามันดีอย่างไร
ดีขนาดนี้จะช้าอยู่ทำไมไปหาเบียร์กินกันเถอะ
ประโยชน์ของการดื่ม"เบียร์"
เบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด มีวิตามินและเกลือแร่ช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อแข็งแรง
ประโยชน์ของการดื่ม"เบียร์"
เบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด มีวิตามินและเกลือแร่ช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อแข็งแรง
สำหรับ คอเบียร์คงหูผึ่งเมื่อมีคนบอกว่าเบียร์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถึงอย่างไรก็ควรดื่มพอประมาณ แล้วเหตุใดฝรั่งจึงบอกว่าเบียร์ดีมีประโยชน์ เหตุผลก็คือเบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด รวมทั้งวิตามินและเกลือแร่ เช่น สังกะสี แมกนีเซียม เหล็ก และแร่ธาตุจำเป็น ซึ่งช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อ แข็งแรง เหตุผลดีๆ ยังมีอีกมากมาย เช่น
ป้องกันโรคหัวใจ จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มเบียร์ 40 - 60% แต่ควรดื่มไม่เกินครึ่งลิตรต่อวัน
ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต สารที่มีประโยชน์ในเบียร์สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตันจึงช่วยป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
ช่วยลดความดันโลหิต แพทย์ชาวฮอลแลนด์และจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้
ป้องกันเบาหวาน ผู้ที่ดื่มเบียร์มีจำนวนน้อยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เหตุผลก็คือ เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลิให้ความทรงจำดี นักดื่มเบียร์จึงไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์
ช่วยให้กระดูกแข็งแรง เบียร์ให้ผลดีต่อกระดูก สามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ แต่ได้ผลเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น
ช่วยให้อายุยืน จากการศึกษามากกว่า 50 สำนัก พบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์วันละ 1 - 2 แก้ว มักจะมีอายุที่ยืนยาว เนื่องจากเบียร์มีสารปกป้องหัวใจ
ป้องกันท้องร่วง โมเลกุล ในเบียร์มีส่วนประกอบเหมือนกันกับกรดนมและน้ำส้มสายชู สารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรคในลำไส้ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วงไม่ให้แพร่ เชื้อจนท้องเสีย
ต้านความเครียด นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราวมีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์
ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต นักวิชาการจากเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกนีเซียม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรคนิ่วในไตได้ถึง 40%
ป้องกันโรคนอนไม่หลับ สารจากดอก Hops ใน เบียร์เปรียบเสมือนยานอนหลับจากธรรมชาติ ช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย ดังนั้น การดื่มเบียร์หนึ่งแก้วในตอนเย็นจึงเหมือนกับการกินยานอนหลับ
ช่วยต้านมะเร็ง เบียร์มีสารโพลีฟีนอยด์ที่จะช่วยป้องกันมะเร็ง โดยการดักจับอนุมูลอิสระตัวร้ายออกจากร่างกาย สารโพลีฟีนอยด์หลักก็คือ Xanthohumol ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยยับยั้งโปรตีนที่ช่วยในการพัฒนาการของมะเร็ง
ช่วยให้ผิวสวย ในเบียร์มีวิตามินสูง เช่น Pantothenic Acid วิตามินบี 3 และไนอาซิน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่ ช่วยสร้างคอลลาเจนและเม็ดสี ผิวจึงเรียบเนียนและอ่อนนุ่ม
จดหมายส่งต่อฉบับนี้ผมตอบเขาไปว่าอย่างนี้ครับ จริงไม่จริงพิจารณากันเอง
เรื่องการดื่มเบียร์ ถึงมันจะดีเลิศประเสริฐศรีอย่างไร ผมคงไม่เอาแล้ว เพราะผมดื่มมาตั้งแต่อายุสิบกว่าจนถึงสี่สิบกว่า บอกง่ายๆ ว่าในปัจจุบันเบียร์เป็นสิ่งที่ผมไม่เห็นคุณค่าใดๆ อีกแล้ว
สำหรับผม...
การดื่มเบียร์ ทำให้เสียเวลาคุยกับลูกและภรรยา
การดื่มเบียร์ ทำให้เสียเงินค่าซื้อเบียร์
การดื่มเบียร์ อาจทำให้กระเพาะเป็นแผล
สำหรับผม...
การดื่มเบียร์ ทำให้เสียเวลาคุยกับลูกและภรรยา
การดื่มเบียร์ ทำให้เสียเงินค่าซื้อเบียร์
การดื่มเบียร์ อาจทำให้กระเพาะเป็นแผล
การดื่มเบียร์ ทำให้เมียผมไม่ชอบเพราะมันเหม็นกลิ่นลมหายใจ และมีกลิ่นออกตัว
การ ดื่มเบียร์ ทำให้เพื่อนเสียเวลานั่งคุยกับเรา เพราะมันต้องใช้เวลานาน บางครั้งดื่มเพลินจนไม่รู้เวลา บางครั้งติดลมไปต่อที่ร้านคาราโอเกะ อีกทำให้เสี่ยงภัยอีก ทำให้ครอบครัวของเพื่อนอาจมีปัญหากันได้
การดื่มเบียร์ ทำให้ฉี่บ่อย เพราะมีแต่น้ำในร่างกายมาก ไตทำงานหนักมากขึ้น ตับทำงานมากขึ้น
การดื่มเบียร์ ทำให้บวม ดื่มไปหลายปีหน้าจะบวบ ตัวบวบ แขนบวบน้ำ
การดื่มเบียร์ อาจทำให้เส้นเลือดในสมองแตก เพราะเลือดฉีดแรงเกินไป เพื่อนผมตายไปเพราะดื่มเบียร์เป็นนิสัย
การดื่มเบียร์ ทำให้ครอบครัวแตกแยกได้หาก คุมสติไม่ได้อาจมีเพศสัมพันธ์กับคนใจง่ายคนอื่นๆ ได้
การดื่มเบียร์ ไม่ได้ทำให้ความเครียดลด แต่จะเพิ่มความเครียดเพราะมีค่าใช้ในครอบครัวสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น
การดื่มเบียร์ ทำให้มีเวลาอ่านพระคัมภีร์น้อยลง
การดื่มเบียร์ ทำให้มีเวลาสามัคคีธรรมกับพี่น้องคริสเตียนน้อยลง หรือไม่มีเลย
การดื่มเบียร์ ทำให้ติดเป็นนิสัย และกลายเป็นทาส แอลกอฮอล์ เลิกไม่ได้ง่ายๆ
การดื่มเบียร์ ทำให้ภาพพจน์ของการเป็นอาจารย์ทางศาสนาเสียหายได้ เพราะคนไทยเชื่อว่า คนดีต้องไม่กินแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่ ยังเป็นสิ่งคนไทยยึดถืออยู่ลึกๆ ถึงแม้จะไม่ค่อยมีใครพูดถึง
การดื่มเบียร์ อาจไม่ผิดศีลทางศาสนาคริสต์ แต่ผู้รับใช้ที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตแล้ว มันไม่หิวเบียร์อีกเลย จริงๆ ครับ
ขอบคุณ อาจารย์ เปิ้ลที่ส่งต่อมา
การให้อภัย คนลาวให้อภัยคนไทย
“ใน ระยะประวัติศาสตร์อันยาวนานนั้น นครหลวงเวียงจันทน์ก็มีทั้งระยะเจริญรุ่งเรืองและระยะระทมขมขื่น ถูกทำลายเผาผลาญและตกเป็นเมืองขึ้นของศักดินาต่างด้าวและจักรพรรดิ์ต่างแดน แต่ระยะที่เวียงจันทน์มีความสว่างแจ้งกว่าระยะไหนๆนั้น ก็คือตั้งแต่ปี 1975 มา จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีพรรคประชาชนปฏิวัติลาวเป็นผู้นำพาทำให้ลาวได้เป็นประเทศที่มีเอกราช อำนาจอธิปไตย เอกภาพและประชาชนลาวได้เป็นเจ้าของประเทศชาติอย่างแท้จริง”
คำกล่าวข้างต้นนี้เป็นการแถลงโดย สมบัด เยียลิเฮอ (แกนนำชาวม้งฝ่ายตรงข้ามกับนายพลวั่ง ปาว)เจ้า ครองนครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งยืนยันว่านครหลวงเวียงจันทน์ในปัจจุบันนี้นับเป็นระยะที่ประชาชน ลาวสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุขมากที่สุด ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าลาวภายใต้การนำพาของพรรคประชาชนปฏิวัติลาวนับตั้งแต่ ปี 1975 เป็น ต้นมาจนถึงทุกวันนี้ถือเป็นระยะที่ประเทศลาวนั้นมีเอกราช มีเอกภาพ มีอำนาจอธิปไตย และประชาชนลาวก็เป็นเจ้าตนเองอย่างแท้จริงนั่นเอง
กล่าวสำหรับในปี 2010 นี้ ซึ่งเป็นระยะของการสถาปนาเวียงจันทน์เป็นเมืองหลวงของลาวครบรอบ 450 ปี พอดีนั้น ทางการลาวก็ยังได้ดำเนินการจัดเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ เพื่อรองรับการจัดงานเฉลิมฉลองในโอกาสดังกล่าวนี้อย่างยิ่งใหญ่ โดยกำหนดที่จะจัดขึ้นในโอกาสเดียวกันกับบุญนมัสการพระธาตุหลวงในระหว่างวัน ที่ 15-21 พฤศจิกายนปีนี้ที่นครหลวงเวียงจันทน์
ทั้ง นี้โดยกิจกรรมหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งและทางการลาวก็กำลังเร่งมือ ดำเนินการให้แล้วเสร็จทันกำหนดการเฉลิมฉลองนครหลวงเวียงจันทน์ครบรอบ 450 ปีดังกล่าวนี้ด้วยก็คือการก่อสร้างอนุสาวรีย์ของเจ้าอนุวงศ์ (เจ้ามหาชีวิตองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์) ที่จะมีความสูงถึง 17 เมตร (รวมฐานและแท่นยืนด้วย) ซึ่ง ถือว่าเป็นอนุสาวรีย์ของอดีตเจ้ามหาชีวิตลาวที่สูงที่สุดและจะต้องใช้ทองแดง เฉพาะการหล่อรูปปั้นของเจ้าอนุวงศ์คิดเป็นน้ำหนักรวมถึง 8 ตัน เพื่อให้ประดิษฐานที่สวนสาธารณะริมฝั่งโขงที่อยู่ตรงข้ามกับฝั่งอำเภอศรีเชียงใหม่ในเขตจังหวัดหนองคายของไทยพอดี
ยิ่ง ไปกว่านั้น ทางการลาวยังได้จัดเตรียมพิธีการเฉลิมฉลองอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์อย่างยิ่ง ใหญ่ด้วยการจัดขบวนแห่อันครึกครื้นและดึงดูดมวลชนคนลาวทุกชนชั้นทั้งจากภาย ในและต่างประเทศเข้าร่วมด้วยทั้งยังถือเป็นการเปิดฉากการเฉลิมฉลองนครหลวง เวียงจันทน์ครบรอบ 450 ปี อย่างเป็นทางการด้วยนั้นก็จะเห็นได้ว่าทางการลาวภายใต้การนำพาของพรรค ประชาชนปฏิวัติลาวนั้นได้ให้ความสำคัญกับเจ้ามหาชีวิตพระองค์นี้ไม่ยิ่ง หย่อนไปกว่า เจ้าฟ้างุ้ม เจ้ามหาชีวิตผู้สถาปนาอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางขึ้นในปี พ.ศ. 1900 และ เจ้าไชยเชษฐาธิราช เจ้ามหาชีวิตผู้สถาปนาเวียงจันทน์เป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้างแทนหลวงพระบางในปี พ.ศ. 2103 แต่อย่างใดเลย
ทั้งนี้โดยถึงแม้ว่าพรรคประชาชนปฏิวัติลาว จะได้ล้มล้างสถาบันกษัตริย์และระบบศักดินาในลาวนับตั้งแต่ปี 1975 เป็น ต้นมาแล้วก็ตามแต่ก็หาได้เป็นปัญหาอย่างใดไม่ ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าวีรกรรมของเจ้าอนุวงศ์ ที่พรรคฯลาวได้เชิดชูขึ้นมาเป็นธงนำในการก่อสร้างอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ใน ครั้งนี้ ก็คือการเป็นเจ้ามหาชีวิตที่ได้กระทำในทุกวิถีทางเพื่อประกาศอิสรภาพและความ เป็นเอกราชของชาติลาว ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับการต่อสู้และการนำพาของพรรคฯลาวนั่นเอง
กล่าวสำหรับอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ภายหลังจากที่ได้ประกาศเอกราชจากพม่าในปี พ.ศ.2146 ในรัชสมัยของพระวรวงศาธรรมิกราช ซึ่งก็ทำให้อาณาจักรล้านช้างไม่มีศึกสงครามและการรุกรานจากภายนอกนับเป็นเวลากว่า 100 ปีจนกระทั่งตกมาถึงปี พ.ศ.2250 และปี พ.ศ.2256 อาณาจักร ล้านช้างหลวงพระบางและจำปาสักก็ได้ประกาศแยกตัวออกจากราชอาณาจักรล้านช้าง เวียงจันทน์ตามลำดับ โดยมีสาเหตุมาจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างพี่น้องในราชวงศ์
ซึ่งด้วยความแตกแยกภายในดังกล่าวก็ได้ทำให้อาณาจักรล้านช้างทั้งสาม ต้องตกไปเป็นประเทศราชของสยามอย่างสมบูรณ์ ในปี พ.ศ.2322 อันเป็นที่มาของการกวาดต้อนคนลาวครั้งใหญ่ เฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยพระเจ้านันทเสน (พ.ศ.2324-2337) นั้น นับเป็นช่วงที่คนลาวถูกสยามกวาดต้อนไปเป็นแรงงานขุดคลองในบางกอกมากที่สุด
อย่าง ไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอาณาจักรล้านช้างจะตกเป็นประเทศราชของสยาม แต่ว่าในส่วนของนครเวียง จันทน์นั้นก็ได้รับการทำนุบำรุงในทุกๆด้านอย่างต่อเนื่อง เฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3 หรือ เจ้าอนุวงศ์ (พ.ศ. 2346-2370) นั้น พระองค์ได้ทรงพยายามทำนุบำรุงนครเวียงจันทน์อย่างต่อเนื่อง เช่น โปรดให้สร้างพระราชวังหอโรง วัดศรีบุญเรืองที่หนองคาย หอพระแก้ววัดช้างเผือกที่ศรี เชียงใหม่ สะพานข้ามแม่น้ำโขงจากวัดช้างเผือกมาที่นครเวียงจันทน์ และ วัดสตหัสสาราม (วัดแสนหรือวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน) เป็นต้น
นอก จากนี้ ยังสันนิษฐานกันว่ามีวรรณกรรมสองเรื่องที่เกิดขึ้นในรัชสมัยเจ้าอนุวงศ์ก็ คือสาส์นลึบบ่สูญ และวรรณกรรมร้อยแก้วเรื่องพระลักษณ์-พระราม
ครั้นเมื่อตกมาถึงปี พ.ศ.2370 พระเจ้าอนุวงศ์ ก็ทรงได้ประกาศกู้เอกราชจากสยาม ซึ่งก็ทำให้พระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยาม (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรง เห็นว่าเจ้าอนุวงศ์นั้นเป็นกบฎ จึงให้ยกทัพไปตีนครเวียงจันทน์ และก็ให้ควบคุมตัว เจ้าอนุวงศ์ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์มาที่กรุงสยามในปี พ.ศ.2371 โดยเจ้าอนุวงศ์นั้นก็สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกันอันถือเป็นการสิ้นสุดของราชวงศ์แห่งอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์อีกด้วย
ส่วน นครเวียงจันทน์ในเวลานั้นก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ กำแพงเมืองถูกรื้อถอนอย่างสิ้นซาก ต้นไม้ใบหญ้าก็ถูกตัดทำลายแล้วเผาไหม้เป็นจุล พระพุทธรูปหลายร้อยหลายพันองค์ก็ถูกไฟเผาจนละลายและกองระเนระนาดอยู่ตาม วัดวาอารามต่างๆที่ถูกเผาไหม้ไปตามๆกัน โดยที่มีเพียงวัดศรีสะเกษเท่านั้นที่รอดพ้นจากการถูกเผาทำลาย แต่โดยสรุปรวมความแล้วก็คือว่านครเวียงจันทน์อันสวยงามและอุดมสมบูรณ์นั้น ได้กลับกลายเป็นเมืองร้างไปอย่างสิ้นเชิงในปี พ.ศ. 2371 นั่นเอง
อาณาจักรล้านช้างตกเป็นประเทศราชของสยามจนถึงปี พ.ศ.2436 ฝรั่งเศสก็ได้ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงทั้งหมดรวมถึงเกาะดอนต่างๆ ที่อยู่ในแนวแม่น้ำโขง ไปจากสยามตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี พ.ศ.2436 (ค.ศ.1893) ส่วนดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงนั้นก็ยังคงเป็นของสยามจนกระทั่งปี พ.ศ.2446 ฝรั่งเศสจึงได้ดินแดนที่เป็นอาณาเขตหลวงพระบางและจำปาสักที่อยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขงตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสปี พ.ศ. 2446 (ค.ศ.1903) นั่นเอง
ทั้งนี้ฝรั่งเศสได้ยกให้เขตหลวงพระบาง (เขตเหนือ) เป็นประเทศที่อยู่ในความอารักขา (Protectorate) โดย ได้มอบให้ พระเจ้าสักรินทรฤทธิ์ เป็นผู้ปกครองภายใต้การควบคุมดูแลของข้าหลวงฝรั่งเศสอีกต่อหนึ่ง ส่วนอาณาเขตนับจากแขวงเวียงจันทน์เรื่อยลงไปจนสุดแดนลาวทางภาคใต้นั้น ฝรั่งเศสก็ได้รวมเข้าเป็นหัวเมืองขึ้นหรืออาณานิคมของฝรั่งเศสโดยตรง ซึ่งก็ทำให้นครเวียงจันทน์ในช่วงเวลานั้นถูกจัดให้เป็นเมืองหนึ่งในแขวง เวียงจันทน์เท่านั้น
ส่วน ในด้านการปกครองนั้น ฝรั่งเศสก็มิได้ให้ความสำคัญกับลาวเท่าใดนักเมื่อเทียบกับเวียดนามและ กัมพูชา โดยถึงแม้ว่าจะมีการตั้งคนลาวเป็นเจ้าเมืองก็ตามแต่ก็ให้มีหน้าที่เพียงการ เก็บส่วยและเกณฑ์คนให้กับฝรั่งเศสเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ จึงทำสภาพชีวิตการกินอยู่ของคนลาวเป็นไปตามสภาพเดิม ทั้งยังส่งเสริมให้เล่นการพนัน สูบฝิ่นและดื่มเหล้าได้ตามใจชอบด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้ฝรั่งเศสสามารถปกครองคน ลาวได้อย่างไม่ต้องกังวลใจเลยว่าจะมีการแข็งขืนเกิดขึ้น
ครั้นเมื่ออำนาจการปกครองของฝรั่งเศสในอินโดจีนเสื่อมลงอันเนื่องมาจากการพ่ายแพ้สงครามอย่างย่อยยับในปี พ.ศ.2497 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพ่ายแพ้สงครามในสมรภูมิรบที่เดียนเบียนฟูทางภาคเหนือของเวียดนาม ซึ่งเป็นที่มาของสนธิสัญญาเจนีวาในปีดังกล่าว (ค.ศ.1954) นั้นก็หาได้เป็นผลทำ ให้ศึกสงครามในลาวสงบลงแต่อย่างใดไม่ เนื่องเพราะสหรัฐอเมริกานั้นได้เข้ามามีอิทธิพลในอินโดจีน (ลาว เวียดนาม และ กัมพูชา) แทนที่ฝรั่งเศสในปีถัดมา ด้วยหวั่นเกรงว่าลัทธิคอมมิวนิสต์จีนนั้นจะแผ่อิทธิพลเข้าสู่อินโดจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง
ทั้งนี้โดยรัฐบาลสหรัฐฯได้ทุ่มงบประมาณถึง 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อให้การช่วยเหลือแก่รัฐบาลลาวในแต่ละปีในช่วงปี พ.ศ.2498-2510 นั้นและเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 74 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐต่อปีในช่วงปี พ.ศ.2511-2516 ก็ตาม แต่เกินกว่า 70% ของ งบประมาณดังกล่าวนี้ก็เป็นการทุ่มเทให้กับกองทัพของรัฐบาลลาวที่นคร เวียงจันทน์เพื่อต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์เป็นหลัก จึงทำให้การพัฒนาในด้านอื่นๆเช่นด้านคมนาคมและด้านการศึกษาได้รับการสนับ สนุนเพียง 8% ของความช่วยเหลือทั้งหมดเท่านั้น
ยิ่ง ไปกว่านั้น การที่ลาวต้องตกอยู่ภายใต้สภาวะของสงครามอย่างต่อเนื่องและยาวนาน จึงทำให้การพัฒนาในทุกๆด้านไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ กล่าวคือในปี ค.ศ.1976 ทั่วประเทศลาวมีถนนลาดยางเพียง 1,427 กิโลเมตร ส่วนอีก 1 หมื่นกิโลเมตรก็เป็นถนนลูกรังที่ใช้การได้เฉพาะในช่วงหน้าแล้งเท่านั้น ในขณะที่ประชากรลาวก็มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวเพียงไม่ถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
แต่ครั้นเมื่อพรรคฯ ได้สถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวครบรอบ 35 ปีในปี ค.ศ.2010 ซึ่งก็นับเป็นโอกาสเดียวกันกับการสถาปนาเวียงจันทน์เป็นเมืองหลวงของลาวครบรอบ 450 ปีด้วยนั้น พรรคฯไม่เพียงจะสามารถทำให้ประชากรลาวมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าและมีถนนที่เชื่อมต่อตั้ง แต่เหนือจรดใต้ได้เท่านั้น แต่พรรคฯยังทำให้ลาวมีเอกราชและอธิปไตยอย่างสมบูรณ์อีกด้วย
เพราะ ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่พรรคฯ จะเชิดชูอดีตเจ้ามหาชีวิตผู้ซึ่งมีวีรกรรมทั้งในการ กอบกู้เอกราชและสร้างชาติเฉกเช่นเดียวกันกับวีรกรรมของพรรคประชาชนปฏิวัติ ลาวนั่นเอง!!!
ทรงฤทธิ์ โพนเงิน
ที่มา: http://www.oknation.net/blog/print.php?id=634096
ท่าทางที่รูปปั้นที่แสดงอาการยื่นมือขวาออกไปข้างหน้า เป็นความหมายแห่งการแสดงการให้อภัย เพื่อมิตรภาพ
แสดงว่า คนลาวได้ให้อภัยศัตรูที่เคยเผาพลาญบ้านเรือนทำลายเมืองเวียงจันทร์จนย่อยยับ ในสมัยก่อน
ปัจจุบันการรบพุ่งแบบโบราณได้ถูกยกเลิกไปแล้ว คงไว้แต่ความเห็นอกเห็นใจ การเป็นพี่น้อง การอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์
จึงเป็นนิมิตหมายที่ดีที่เราควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างที่ดีในการให้อภัยซึ่งกันและกัน
...................................
รู้จัก 'เจ้าอะนุวง' ฉบับย่อ
กล่าวสำหรับอาณาจักรล้านช้าง เวียงจันทน์ ภายหลังได้ประกาศเอกราชจากพม่าในปี พ.ศ.2146 ในรัชสมัยของพระวรวงศาธรรมิกราช ซึ่งไม่มีศึกสงครามและการรุกรานจากภายนอกกว่า 100 ปี จนกระทั่งปี พ.ศ.2250 และปี พ.ศ.2256 อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางและจำปาสัก ก็ได้ประกาศแยกตัวออกจากราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ตามลำดับ โดยมีสาเหตุมาจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างพี่น้องในราชวงศ์
จากความแตกแยกภายในดังกล่าว ทำให้อาณาจักรล้านช้างทั้งสาม ต้องตกไปเป็นประเทศราชของสยามอย่างสมบูรณ์ พ.ศ.2322 แต่ว่าในส่วนของนครเวียงจันทน์นั้น ก็ได้รับการทำนุบำรุงในทุกๆ ด้านอย่างต่อเนื่อง เฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัย เจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3 หรือพระเจ้าอนุวงศ์ หรือ 'เจ้าอะนุวง' (พ.ศ.2346-2370) นั้น พระองค์ได้ทรงพยายามทำนุบำรุง เช่น โปรดให้สร้างพระราชวังหอโรง วัดศรีบุญเรืองที่หนองคาย หอพระแก้ววัดช้างเผือกที่ศรีเชียงใหม่ สะพานข้ามแม่น้ำโขงจากวัดช้างเผือกมาที่นครเวียงจันทน์ และวัดสตหัสสาราม (วัดแสน หรือวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน) เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังสันนิษฐานกันว่ามีวรรณกรรมสองเรื่องที่เกิดขึ้นในรัชสมัยเจ้าอนุวงศ์ ก็คือสาส์นลึบบ่สูญ และวรรณกรรมร้อยแก้วเรื่องพระลักษณ์-พระราม
ครั้นปี พ.ศ.2370 พระเจ้าอนุวงศ์ ก็ทรงได้ประกาศกู้เอกราชจากสยาม ซึ่งก็ทำให้พระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยาม (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงเห็นว่าเจ้าอนุวงศ์นั้นเป็นกบฏ จึงให้ยกทัพไปตีนครเวียงจันทน์ และก็ให้ควบคุมตัวเจ้าอนุวงศ์ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์มาที่กรุงสยามในปี พ.ศ.2371
โดยเจ้าอนุวงศ์นั้น ก็สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกัน อันถือเป็นการสิ้นสุดของราชวงศ์แห่งอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์อีกด้วย
ส่วนนครเวียงจันทน์ก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับทุกอย่าง มีเพียงวัดศรีสะเกษเท่านั้น ที่รอดพ้นจากการถูกเผาทำลาย
............
หมายเหตุ : ข้อมูลจาก เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 963 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2553
คัดย่อบางส่วนจากบท ความเรื่อง 'นครหลวงเวียงจันทน์ 450 ปี' โดย ทรงฤทธิ์ โพนเงิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ 'เวียงจันทน์ 450 ปี ภายใต้การนำพาอันฉลาดส่องใส'
...................................
รู้จัก 'เจ้าอะนุวง' ฉบับย่อ
กล่าวสำหรับอาณาจักรล้านช้าง เวียงจันทน์ ภายหลังได้ประกาศเอกราชจากพม่าในปี พ.ศ.2146 ในรัชสมัยของพระวรวงศาธรรมิกราช ซึ่งไม่มีศึกสงครามและการรุกรานจากภายนอกกว่า 100 ปี จนกระทั่งปี พ.ศ.2250 และปี พ.ศ.2256 อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางและจำปาสัก ก็ได้ประกาศแยกตัวออกจากราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ตามลำดับ โดยมีสาเหตุมาจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างพี่น้องในราชวงศ์
จากความแตกแยกภายในดังกล่าว ทำให้อาณาจักรล้านช้างทั้งสาม ต้องตกไปเป็นประเทศราชของสยามอย่างสมบูรณ์ พ.ศ.2322 แต่ว่าในส่วนของนครเวียงจันทน์นั้น ก็ได้รับการทำนุบำรุงในทุกๆ ด้านอย่างต่อเนื่อง เฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัย เจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3 หรือพระเจ้าอนุวงศ์ หรือ 'เจ้าอะนุวง' (พ.ศ.2346-2370) นั้น พระองค์ได้ทรงพยายามทำนุบำรุง เช่น โปรดให้สร้างพระราชวังหอโรง วัดศรีบุญเรืองที่หนองคาย หอพระแก้ววัดช้างเผือกที่ศรีเชียงใหม่ สะพานข้ามแม่น้ำโขงจากวัดช้างเผือกมาที่นครเวียงจันทน์ และวัดสตหัสสาราม (วัดแสน หรือวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน) เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังสันนิษฐานกันว่ามีวรรณกรรมสองเรื่องที่เกิดขึ้นในรัชสมัยเจ้าอนุวงศ์ ก็คือสาส์นลึบบ่สูญ และวรรณกรรมร้อยแก้วเรื่องพระลักษณ์-พระราม
ครั้นปี พ.ศ.2370 พระเจ้าอนุวงศ์ ก็ทรงได้ประกาศกู้เอกราชจากสยาม ซึ่งก็ทำให้พระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยาม (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงเห็นว่าเจ้าอนุวงศ์นั้นเป็นกบฏ จึงให้ยกทัพไปตีนครเวียงจันทน์ และก็ให้ควบคุมตัวเจ้าอนุวงศ์ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์มาที่กรุงสยามในปี พ.ศ.2371
โดยเจ้าอนุวงศ์นั้น ก็สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกัน อันถือเป็นการสิ้นสุดของราชวงศ์แห่งอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์อีกด้วย
ส่วนนครเวียงจันทน์ก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับทุกอย่าง มีเพียงวัดศรีสะเกษเท่านั้น ที่รอดพ้นจากการถูกเผาทำลาย
............
หมายเหตุ : ข้อมูลจาก เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 963 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2553
คัดย่อบางส่วนจากบท ความเรื่อง 'นครหลวงเวียงจันทน์ 450 ปี' โดย ทรงฤทธิ์ โพนเงิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ 'เวียงจันทน์ 450 ปี ภายใต้การนำพาอันฉลาดส่องใส'
วิจัยพบ ร้อยละ ๔๗ เชื่อว่าการทำแท้งคือสิทธิในการฆ่า ส่วนบุคคล
โพลชี้'รีดมารหัวขน' สิทธิส่วนบุคคล โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 21 พฤศจิกายน 2553 22:06 น. ASTVผู้จัดการรายวัน - โพลชี้ประชาชนหนุนแก้กฎหมายทำแท้ง เกินครึ่งระบุเป็นสิทธิส่วนบุคคล แค่ 15% เห็นว่าบาป วานนี้ (21 พ.ย.) สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นประชาชนในกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 1,458 คน เกี่ยวกับ "การพบศพเด็กทารกจำนวนมาก ภายในวัดไผ่เงิน" ผลปรากฎว่า ประชาชน ร้อยละ 62.18 เห็นว่า กรณีการพบศพทารก สร้างความตกตะลึง และตกใจว่าทำไมถึงได้มีการทำแท้งเป็นจำนวนมากมายขนาดนี้ ร้อยละ 15.24 เห็นว่า เป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรม เป็นการทำบาป และ ผิดกฎหมาย ***เกือบครึ่งชี้ทำแท้งสิทธิส่วนบุคคล นอกจากนี้ ร้ประชาชนร้อยละ 47.17ยังคิดว่าการทำแท้งเป็นสิทธิส่วนบุคคล / มาจากความจำเป็นของแต่ละคน เพราะถือเป็นการตัดสินใจของผู้ที่ให้กำเนิดเอง สิ่งที่เกิดขึ้นอาจมาจากความไม่พร้อมหรือความจำเป็นของแต่ละคน ฯลฯ ร้อยละ 30.19 ระบุว่า ไม่แน่ใจ เพราะ คิดว่าคนที่มาทำแท้งน่าจะมีเหตุผลหรือความจำเป็นที่แตกต่างกันออกไป ในใจลึกๆ แล้วเชื่อว่าคนเป็นแม่ย่อมรักลูก ฯลฯ ขณะที่ ร้อยละ 22.64 ระบุว่า ไม่เป็น เพราะ ตามกฎหมายได้ระบุไว้แล้วว่าการทำแท้งเป็นเรื่องผิดกฎหมายและผิดศีลธรรม ฯลฯ ทั้งนี้ ประชาชน ร้อยละ 65.62 เห็นด้วย หากมีการแก้ไขกฎหมาย เพราะสังคมไทยในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก การมีเพศสัมพันธ์โดยขาดการป้องกันเกิดขึ้นได้ง่าย บางคนคิดว่าการทำแท้งเป็นเรื่องปกติ หรือ เป็นทางออกที่ดีที่สุด ฯลฯ ร้อยละ 21.72 ไม่แน่ใจ เพราะ การแก้ไขกฎหมายอย่างเดียวคงไม่ได้ผล ควรให้ความรู้หรือให้การศึกษาในเรื่องนี้ควบคู่ไปด้วยจะดีกว่า ฯลฯ และ ร้อยละ 12.66 ไม่เห็นด้วยเพราะ ขึ้นอยู่กับความคิดและวิจารณญาณของแต่ละคน กฎหมายหรือข้อห้ามต่างๆ เกี่ยวกับการทำลายชีวิต ทำผิดศีลธรรม ก็มีระบุไว้อยู่แล้ว ฯลฯ
การใช้ถุงยางอนามัย กับความเชื่อของวาติกัน
ยูเอ็นเอดส์ ขานรับการเปลี่ยนท่าทีของโป๊ป กรณีการใช้ถุงยางอนามัย โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 พฤศจิกายน 2553 18:29 น. เอเอฟพี - หน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ ผู้นำการรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์ วันนี้ (21) ออกมาขานรับความคิดเห็นของ สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 กรณียอมรับการใช้ถุงยางอนามัย โดยก่อนหน้านี้ ทางวาติกันเห็นว่าการคุมกำเนิดเป็นเรื่องผิดหลักมนุษยธรรม ในการให้สัมภาษณ์เพื่อลงหนังสือซึ่งวางแผงไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ตรัส ว่า ในปัจจุบันการใช้ถุงยางอนามัยไม่ควรถูกมองว่าเป็น "เรื่องศีลธรรม" องค์สมเด็จพระสันตะปาปาท่านนี้ เปิดใจยอมรับการใช้ถุงยางอนามัย หลังจากสำนักวาติกันเคยห้ามการคุมกำเนิดทุกวิธี "เฉพาะในกรณีนี้ ซึ่งใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ควรคำนึงถึงการใช้ถุงยางอนามัยในแง่ของการป้องกันเป็นอันดับแรก มากกว่าประเด็นมนุษยธรรมในการคุมกำเนิด" ผู้นำชาวคริสต์คาทอลิกกว่า 1,100 ล้านคน ตรัส ก่อนหน้านี้ สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ เคยก่อให้เกิดเสียงครหาอื้ออึง เมื่อเดือนมีนาคม 2009 ในการเสด็จเยือนทวีปแอฟริกา ที่ประชากรถูกโรคเอดส์คร่าชีวิตไปจำนวนมาก พระองค์ทรงให้สัมภาษณ์กับนักข่าว ว่า การแจกถุงยางอนามัยเป็นซ้ำเติม การแพร่ระบาดของโรคติดต่อร้ายแรงดังกล่าว พระองค์ทรงยกตัวอย่างกรณีผู้ชายที่ขายบริการทางเพศใช้ถุงยางอนามัย ว่าทางที่ดี ควรทำความเข้าใจใหม่ว่าไม่ควรมีการอนุญาตให้มีการขายบริการทางเพศ แทนที่จะไล่แจกถุงยางอนามัย นอกจากนี้ พระองค์ทรงเน้นย้ำหลายครั้งหลายคราว่าการใช้ถุงยางอนามัยเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาการติดเชื้อเอชไอวีได้ "ต้องทำมากกว่านี้" พระองค์ตรัส อย่างไรก็ตาม เมื่อทางสำนักวาติกัน มีการเปลี่ยนท่าทีต่อการใช้ถุงยางอนามัย ผู้อำนวยการยูเอ็นเอดส์จึงออกมาระบุในคำแถลงว่า การแสดงความเห็นของสมเด็จพระสันตะปาปาครั้งนี้ ถือเป็น "ก้าวสำคัญ และเป็นผลดีต่อการป้องกันเชื้อเอดส์" "ท่าทีดังกล่าวเป็นก้าวสำคัญที่ส่งผลดีอย่างยิ่ง ที่ทางสำนักวาติกันเผยออกมาวันนี้" ไมเคิล ซิดิเบ ผู้อำนวยการยูเอ็นเอดส์ ระบุในคำแถลง "นั่นเป็นการยอมรับว่า การมีเพศสัมพันธ์โดยมีความรับผิดชอบ และ การใช้ถุงยางอนามัย มีส่วนสำคัญในการป้องกันเชื้อเอชไอวี" เขากล่าว "เราสามารถสร้างโลกที่ไม่มีเชื้อเอชไอวี โลกที่ไม่มีการแบ่งแยก และโลกที่ไม่มีการเสียชีวิตจากเชื้อเอดส์ได้" ฟรังโก กริลลินี ประธานกลุ่มอาร์กิเกย์ ผู้เรียกร้องสิทธิของกลุ่มรักร่วมเพศในอิตาลี กล่าวว่า การกระทำของสำนักวิตากันครั้งนี้เท่ากับเป็นการยอมรับความผิดพลาดในอดีต จากจุดยืนอันแข็งกร้าวก่อนหน้านี้ หน่วยงานต่อต้านเอดส์ในแอฟริกาใต้ ก็ออกมาขานรับความเห็นของพระสันตะปาปา แต่ยังกล่าวว่าพระองค์ต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจนกว่านี้ ทั้งนี้ในแอฟริกาใต้มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีประมาณ 5.7 ล้านคนจากประชากรทั้งหมด 48 ล้านคน ปีเตอร์ แทตเชล นักรณรงค์เพื่อสิทธิของกลุ่มเกย์อังกฤษ ก็ยินดีกับท่าทีดังกล่าว แต่ได้กล่าวเช่นในทำนองเดียวกันว่า การแสดงความเห็นดังกล่าวยังไม่ชัดเจนพอ "ความคิดเห็นของโป๊บเป็นเพียงความหวังเล็กๆ ว่า หลักศาสนาของโบสถ์คาทอลิกจะมีการเปลี่ยนแปลง" เขาให้สัมภาษณ์กับสถานีข่าวสกายนิวส์ ดูภาพคลิก http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9530000164766
A chicken Lady
I have given you authority over all the power of the enemy, and you can walk among snakes and scorpions and crush them. Nothing will injure you (Luke 10:19, NLT).
Dear Friends,
Do you know who you are in Christ, and your authority in Him?
There is an amusing story about the late Christian A. Herter, former U.S. Secretary of State, when he was running hard for reelection as Governor of Massachusetts. One day he arrived late at a barbecue.
He'd had no breakfast or lunch, and he was famished. As he moved down the serving line, he held out his plate and received one piece of chicken. The governor said to the serving lady, "Excuse me, do you mind if I get another piece of chicken. I'm very hungry."
"Sorry," the lady responder, "I'm supposed to give one piece to each person."
"But I'm starved," he repeated.
Again she said: "Only one to a customer."
Herter was normally a modest man, but he decided this was the time to use the weight of his office, and said, "Madam, do you know who I am? I am the governor of this state."
"Do you know who I am?" she answered. "I'm the lady in charge of chicken. Move along, mister."
Now personally, I would have probably given the governor an extra piece of chicken. However, the lady's stubbornness is noteworthy for two reasons. First, she knew who she was -- that is, the lady in charge of chicken. Second, she knew what her authority was -- that is, she diligently implemented the instructions given to her.
Christians need to be more like the chicken lady. They need to know who they are in Christ, that they have been filled with His Spirit and have received His power (Acts 1:8), they are joint heirs with Him (Romans 8:17), and are seated with Him in heaven (Ephesians 2:6). When we walk in the Spirit, we walk in His authority, we speak His words, and we do His acts. We are not intimidated by the powerful of this world, or by the powers of darkness. The devil should be intimidated by all Spirit-filled followers of Christ. Pastor John Hagee humorously says that when the devil sees us coming, "He should grab his Maalox and dial 9-1-1.
" When facing the giant, symbolic of Satan, David knew who he was. "David said to the Philistine, 'You come against me with sword and spear and javelin, but I come against you in the name of the LORD Almighty, the God of the armies of Israel, whom you have defied'" (1 Samuel 17:45, NIV).
Now, some 3,000 years later, we have the indwelling Christ and the revelations of the New Covenant. Like the chicken lady, let us walk in the knowledge of who we are and in the authority given to us in Christ.
Yours for fulfilling the Great Commission each year until our Lord returns,
Bill Bright
Dear Friends,
Do you know who you are in Christ, and your authority in Him?
There is an amusing story about the late Christian A. Herter, former U.S. Secretary of State, when he was running hard for reelection as Governor of Massachusetts. One day he arrived late at a barbecue.
He'd had no breakfast or lunch, and he was famished. As he moved down the serving line, he held out his plate and received one piece of chicken. The governor said to the serving lady, "Excuse me, do you mind if I get another piece of chicken. I'm very hungry."
"Sorry," the lady responder, "I'm supposed to give one piece to each person."
"But I'm starved," he repeated.
Again she said: "Only one to a customer."
Herter was normally a modest man, but he decided this was the time to use the weight of his office, and said, "Madam, do you know who I am? I am the governor of this state."
"Do you know who I am?" she answered. "I'm the lady in charge of chicken. Move along, mister."
Now personally, I would have probably given the governor an extra piece of chicken. However, the lady's stubbornness is noteworthy for two reasons. First, she knew who she was -- that is, the lady in charge of chicken. Second, she knew what her authority was -- that is, she diligently implemented the instructions given to her.
Christians need to be more like the chicken lady. They need to know who they are in Christ, that they have been filled with His Spirit and have received His power (Acts 1:8), they are joint heirs with Him (Romans 8:17), and are seated with Him in heaven (Ephesians 2:6). When we walk in the Spirit, we walk in His authority, we speak His words, and we do His acts. We are not intimidated by the powerful of this world, or by the powers of darkness. The devil should be intimidated by all Spirit-filled followers of Christ. Pastor John Hagee humorously says that when the devil sees us coming, "He should grab his Maalox and dial 9-1-1.
" When facing the giant, symbolic of Satan, David knew who he was. "David said to the Philistine, 'You come against me with sword and spear and javelin, but I come against you in the name of the LORD Almighty, the God of the armies of Israel, whom you have defied'" (1 Samuel 17:45, NIV).
Now, some 3,000 years later, we have the indwelling Christ and the revelations of the New Covenant. Like the chicken lady, let us walk in the knowledge of who we are and in the authority given to us in Christ.
Yours for fulfilling the Great Commission each year until our Lord returns,
Bill Bright
ปิ่นหายป่วยอย่างอัศจรรย์
ปิ่น' ทึ่ง! บาทหลวงรักษากระดูก กลับมามีชีวิตใหม่ ไม่ต้องผ่าตัด
'ปิ่น' ทึ่ง! บาทหลวงรักษากระดูก กลับมามีชีวิตใหม่ ไม่ต้องผ่าตัด
พร้อมอุทิศตนเพื่อพระเจ้า ตามบาทหลวงไปช่วยเหลือคนอื่นต่อ
แต่ยังหักโหมไม่ได้...
เจอะหน้าสาว ปิ่น-เก็จมณี วรรธนะสิน นักแสดงชื่อดัง
ภรรยาสุดเลิฟของเจ้าพ่อแรพเปอร์เมืองไทย เจ-เจต ริน ที่งาน
อีเอฟเอ็มฟันแฟร์ จึงขออัพเดตอาการ ป่วยล่าสุด
ซึ่งปิ่นเผยด้วยอาการดีใจว่า ไม่ต้องผ่าตัดแล้ว หลังประสบอุบัติเหตุตกม้า
เผยใช้วิธีรักษาโดยการเยียวยาทางเลือกใหม่ กับบาทหลวงท่านหนึ่ง
อาการ ตอนนี้เป็นอย่างไร "ดีขึ้นเรื่อยๆ เดินได้ ไปไหนมาไหนได้
แต่เดินนานไม่ได้ ขับรถได้ แต่ช่วงสั้นๆ ดีใจที่ไม่ต้องผ่าตัด
มันเป็นความเชื่อของปิ่นเอง
คือได้รักษาแบบทางเลือกเป็นการเยียวยากับบาทหลวง คอซี่
เป็นการเยียวยาผ่านพลังงานของพระเจ้า ทำให้กระดูกของปิ่นที่ตายไปส่วนใหญ่
กลับมามีชีวิตอีก" เดิมต้องเข้ารับการผ่าตัด "ใช่คะ
ไปรักษากับบาทหลวงแล้ว จากนั้นกลับไปหาแพทย์ที่ผ่าตัด แพทย์ไปเอกซเรย์
หมอตกใจบอกว่ากระดูกที่ตายไปแล้ว กลับมามีชีวิต หมอก็งง
ก็ถามปิ่นว่าไปทำไรมา แต่เราไม่ได้พูดอะไร หมอก็บอกไม่ต้องผ่าตัดแล้ว
เราก็อยากกรี๊ดมาก ตอนนี้อุทิศตนเพื่อพระเจ้าแล้ว ตามบาทหลวง
คอซี่ไปทุกที ท่านเป็นบาทหลวงมาจากฟิลิปปินส์
ปกติจะมาเมืองไทยรักษาปีละสองครั้ง ถ้าท่านมาปิ่นก็ไปช่วยท่าน
ทำงานตรงนี้ทำให้เรารู้ว่าความเจ็บปวดเป็นอย่างไร
ปิ่นรู้สึกดีเวลาที่ช่วยคนอื่นเขาดีขึ้นก็รู้สึกดีขึ้น"
เกิดอัศจรรย์ในร่างกาย "ปิ่นป่วยมา 6
เดือนเราเหมือนได้รักษาแบบการใช้พลัง
เป็นการรักษาตามแบบศาสนาคริสต์ที่มีกันมาหลายชั่วอายุคน
ทำให้กระดูกที่ตายไปแล้ว ก็กลับมามีชีวิต
เหมือนมีเลือดมาหล่อเลี้ยงอัศจรรย์ ไม่เชื่อก็ไม่ได้ ปิ่นไม่ได้เล่นของ
เชื่อหลักเป็นเหตุเป็นผล เห็นด้วยตามาแล้ว"
ร่างกายตอนนี้หักโหมได้มากขนาดไหน "หักโหมไม่ได้
วันหนึ่งทำกิจกรรมได้อย่างเดียว ถ้าใช้งานเยอะกระดูกที่จะต่อก็ไม่ต่อ
โดยเฉพาะด้านซ้ายที่ได้ผ่าเอาไว้ คือเป็นลักษณะที่เอากระดูกมาปั้น
แล้วติดกาวเอาไว้ ผ่าตัดข้างเดียว ซ้าย แต่ก็ไม่ต้องผ่าแล้ว
ถ้าไม่ได้ไปหกล้ม"
ดูภาพ http://www.thairath.co.th/content/ent/126978
What is love?
What is love?
"...though I have the gift of prophecy, and understand all mysteries and all knowledge, and though I have all faith, so that I could remove mountains, but have not love, I am nothing"
(1 Corinthians 13:2).
Love never gives up.
Love cares more for others than for self.
Love doesn't want what it doesn't have.
Love doesn't strut,
Doesn't have a swelled head,
Doesn't force itself on others,
Isn't always "me first,"
Doesn't fly off the handle,
Doesn't keep score of the sins of others,
Doesn't revel when others grovel,
Takes pleasure in the flowering of truth,
Puts up with anything,
Trusts God always,
Always looks for the best,
Never looks back
But keeps going to the end.
When I was an infant at my mother's breast, I gurgled and cooed like any infant. When I grew up, I left those infant ways for good.
"...though I have the gift of prophecy, and understand all mysteries and all knowledge, and though I have all faith, so that I could remove mountains, but have not love, I am nothing"
(1 Corinthians 13:2).
Love never gives up.
Love cares more for others than for self.
Love doesn't want what it doesn't have.
Love doesn't strut,
Doesn't have a swelled head,
Doesn't force itself on others,
Isn't always "me first,"
Doesn't fly off the handle,
Doesn't keep score of the sins of others,
Doesn't revel when others grovel,
Takes pleasure in the flowering of truth,
Puts up with anything,
Trusts God always,
Always looks for the best,
Never looks back
But keeps going to the end.
When I was an infant at my mother's breast, I gurgled and cooed like any infant. When I grew up, I left those infant ways for good.
How to be a wise person
The Men of Proverbs
Proverbs 1:5
The Men of Proverbs: The Wise Man Dictionary "WISE": Properly having knowledge: hence havmg the power of discerning and judging correctly, or of discrirninating between what is true and what is false. The discrete use or application of knowledge.Hebrew "WISE": To be wise in rnind, word, or act. Note: Knowledge + Understanding = Wisdom (Proverbs 2:6)
I. Actions of the Wise Man
- A. Listens.
- "A wise man will hear, and will increase learning; and a man of understanding shall attain unto wise counsels:" (Prov 1:5)
- 1. "Reprove not a scorner, lest he hate thee: rebuke a wise man, and he will love thee." (Prov 9:8)
2. "Give instruction to a wise man, and he will be yet wiser: teach a just man, and he will increase in learning." (Prov 9:9)
3. "The ear that heareth the reproof of life abideth among the wise." (Prov 15:31)
4. "A reproof entereth more into a wise man than an hundred stripes into a fool." (Prov 17:10)
5. "The rod and reproof give wisdom: but a child left to himself bringeth his mother to shame." (Prov 29:15)
- "He that gathereth in summer is a wise son: but he that sleepeth in harvest is a son that causeth shame." (Prov 10:5)
- 1. "The wise in heart will receive commandments: but a prating fool shall fall." (Prov 10:8)
2. "A wise son heareth his father's instruction: but a scorner heareth not rebuke." (Prov 13:1)
3. "Hear counsel, and receive instruction, that thou mayest be wise in thy latter end." (Prov 19:20)
- 1. "Wise men lay up knowledge: but the mouth of the foolish is near destruction." (Prov 10:14)
- 1. "In the multitude of words there wanteth not sin: but he that refraineth his lips is wise." (Prov 10:19)
2. "Even a fool, when he holdeth his peace, is counted wise: and he that shutteth his lips is esteemed a man of understanding." (Prov 17:28)
3. "A fool uttereth all his mind: but a wise man keepeth it in till afterwards." (Prov 29:11)
- "The fruit of the righteous is a tree of life; and he that winneth souls is wise." (Prov 11:30)
- 1. "The way of a fool is right in his own eyes: but he that hearkeneth unto counsel is wise." (Prov 12:15)
2. "Only by pride cometh contention: but with the well advised is wisdom." (Prov 13:10)
3. "Hear counsel, and receive instruction, that thou mayest be wise in thy latter end." (Prov 19:20)
- "He that walketh with wise men shall be wise: but a companion of fools shall be destroyed." (Prov 13:20)
- "A wise man feareth, and departeth from evil: but the fool rageth, and is confident." (Prov 14:16)
- "Wine is a mocker, strong drink is raging: and whosoever is deceived thereby is not wise." (Prov 20:1)
- "Whoso keepeth the law is a wise son: but he that is a companion of riotous men shameth his father." (Prov 28:7)
- 1. "Counsel is mine, and sound wisdom: I am understanding; I have strength." (Prov 8:14)
2. "In the lips of him that hath understanding wisdom is found: but a rod is for the back of him that is void of understanding." (Prov 10:13)
3. "It is as sport to a fool to do mischief: but a man of understanding hath wisdom." (Prov 10:23)
4. "Wisdom resteth in the heart of him that hath understanding: but that which is in the midst of fools is made known." (Prov 14:33)
5. "Wisdom is before him that hath understanding; but the eyes of a fool are in the ends of the earth." (Prov 17:24)
- 1. "The fear of the LORD is the beginning of wisdom: and the knowledge of the holy is understanding." (Prov 9:10)
2. "The wisdom of the prudent is to understand his way: but the folly of fools is deceit." (Prov 14:8)
3. "The wise in heart shall be called prudent: and the sweetness of the lips increaseth learning." (Prov 16:21)
- "He that is void of wisdom despiseth his neighbour: but a man of understanding holdeth his peace." (Prov 11:12)
- 1. "I wisdom dwell with prudence, and find out knowledge of witty inventions." (Prov 8:12)
2. "The wisdom of the prudent is to understand his way: but the folly of fools is deceit." (Prov 14:8)
3. "The wise in heart shall be called prudent: and the sweetness of the lips increaseth learning." (Prov 16:21)
- A. Fair and Just.
- 1. "The mouth of the just bringeth forth wisdom: but the froward tongue shall be cut out." (Prov 10:31)
2. "These things also belong to the wise. It is not good to have respect of persons in judgment." (Prov 24:23)
- "Scornful men bring a city into a snare: but wise men turn away wrath." (Prov 29:8)
- "When pride cometh, then cometh shame: but with the lowly is wisdom." (Prov 11:2)
- A. Receives Honour
- 1. "Length of days is in her right hand; and in her left hand riches and honour." (Prov 3:16)
2. "The wise shall inherit glory: but shame shall be the promotion of fools." (Prov 3:35)
- 1. "The proverbs of Solomon. A wise son maketh a glad father: but a foolish son is the heaviness of his mother." (Prov 10:1)
2. "A wise son maketh a glad father: but a foolish man despiseth his mother." (Prov 15:20)
3. "My son, if thine heart be wise, my heart shall rejoice, even mine." (Prov 23:15)
4. "The father of the righteous shall greatly rejoice: and he that begetteth a wise child shall have joy of him." (Prov 23:24)
5. "My son, be wise, and make my heart glad, that I may answer him that reproacheth me." (Prov 27:11)
6. "Whoso loveth wisdom rejoiceth his father: but he that keepeth company with harlots spendeth his substance." (Prov 29:3)
- 1. "For whoso findeth me findeth life, and shall obtain favour of the LORD." (Prov 8:35)
2. "The king's favour is toward a wise servant: but his wrath is against him that causeth shame." (Prov 14:35)
3. "He that handleth a matter wisely shall find good: and whoso trusteth in the LORD, happy is he." (Prov 16:20)
- "Length of days is in her right hand; and in her left hand riches and honour." (Prov 3:16)
- "Length of days is in her right hand; and in her left hand riches and honour." (Prov 3:16)
- "Her ways are ways of pleasantness, and all her paths are peace." (Prov 3:17)
- G. Has Happiness.
- 1. "Happy is the man that findeth wisdom, and the man that getteth understanding." (Prov 3:13)
2. "She is a tree of life to them that lay hold upon her: and happy is every one that retaineth her." (Prov 3:18)
- "Forsake her not, and she shall preserve thee: love her, and she shall keep thee." (Prov 4:6)
- "So shall the knowledge of wisdom be unto thy soul: when thou hast found it, then there shall be a reward, and thy expectation shall not be cut off." (Prov 24:14)
- "He that trusteth in his own heart is a fool: but whoso walketh wisely, he shall be delivered." (Prov 28:26)
http://www.brandonweb.com/sermons/sermonpages/proverbs1.htm
พระรับเงินทองถวายได้หรือไม่
...ได้มีกลุ่มพุทธศาสนิกชนยื่นแผ่นพับรณรงค์ต่อนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รมว.วัฒนธรรม เกี่ยวกับขอให้หยุดทำร้ายพระพุทธศาสนา หยุดทำบาปให้แก่ตนเอง หยุดถวายทอง เงินแด่พระภิกษุและสามเณร ซึ่งในเอกสารรณรงค์ได้ระบุถึงการถวายเงิน ทองแด่พระภิกษุ สามเณรว่าผิดพระบัญญัติ โดยมีการอ้างอิงจากพระไตรปิฎกเล่ม 3 หน้า 940 เล่มสีน้ำเงิน และเล่ม 3 หน้า 887 เล่มสีแดง ถึงพระบัญญัติที่พระพุทธองค์ได้ระบุไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงยกสิขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ อนึ่งภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง-เงิน หรือยินดีทอง-เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ก็ดี เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ต้องอาบัตินิสสัคคีย์ ต้องสละสิ่งของนั้นออกไป จึงจะพ้นโทษ ทั้งนี้ แผ่นพับรณรงค์ได้ระบุโทษของการทำผิดนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ต้องตกโรรุวนรก 1 ชั่วอายุ คือ 4,000 ปี ซึ่งพุทธศาสนิกชนที่ทำผิดกับพระเพราะถวายสิ่งของที่ผิดพระวินัยก็ต้องโทษเหมือนกับพระแต่ได้รับโทษเบากว่า และท้ายเอกสารยังได้ระบุที่มาของเอกสารว่ามาจากสำนักสงฆ์ป่าสามแยก บ้านห้วยยางทอง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ยอมรับว่า คำสอน และพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ระบุไว้ว่า ให้พระภิกษุละเว้นจากลาภ ชื่อเสียง เงิน ทอง จริง แต่ขึ้นอยู่กับเจตนาด้วยว่า พระสงฆ์ยินดีในเงินทองนั้นหรือไม่ แล้วนำไปใช้อะไร ซึ่งตามหลักความเป็นจริงแล้วสมมติว่า หากวัดชำรุดแล้วพระสงฆ์ไม่รับเงินบริจาคจากประชาชน จะเอาเงินที่ไหนมาบูรณปฏิสังข์รวมทั้งจะพัฒนาพระพุทธศาสนา ซึ่งจะต้องมองเจตนาว่าเป็นอย่างไร แต่ถ้าหากพระรูปนั้น โลภ รับเงินบริจาคมาเพื่อใช้ในเรื่องส่วนตัว ก็ถือว่าผิด ข่าวคริสตชน ๑๐ พ.ย.๒๐๑๐
รอดชีวิตด้วยศรัทธาและอดทน
รอดชีวิตด้วยศรัทธาและอดทน
ช่วงเวลานี้โลก เผชิญกับภัยพิบัติมากมายและรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง
ซึ่งผลกระทบนั้นก็มีมากขึ้นทุกที ก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
เช่นประเทศอินโดนีเซียที่ต้องเจอกับสึนามิและภูเขาไฟระเบิด
ส่วนประเทศไทยเราที่เจอภัยแล้งยังไม่ทันไร ก็ต้องมาเจอกับอุทกภัยอีก
แต่ท่ามกลางภัยพิบัตินี้
ได้เห็นว่าเราคนไทยก็แสดงน้ำใจตอบสนองให้ความช่วยเหลือแก่เพื่อนคนไทยด้วย
กันที่ตกทุกข์ได้ยากอย่างรวดเร็ว
ด้วยกำลังทรัพย์และกำลังกายช่วยกันนำสิ่งของไปมอบให้กับพวกเขาจนถึงที่
บางพื้นที่ถนนถูกตัดขาด น้ำท่วมสูง
ก็มีหลายคนลุยน้ำและพายเรือเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนได้
น้ำใจของพี่น้องคนไทยที่ได้ให้ความช่วยเหลือกันนี้เป็นที่พอพระทัยพระ
เจ้า ดังตัวอย่างที่พบในพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่
ตอนที่นายร้อยคนหนึ่งซึ่งเป็นทหารโรมันชื่อ โครเนลิอัส
ท่านประจำการอยู่ที่ประเทศอิสราเอล
การอธิษฐานและการทำทานของท่านเป็นเหตุให้พระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของท่าน
(กิจการ 10:4) โครเนลิอัสจ้องมองทูตองค์นั้นด้วยความตกใจกลัว และถามว่า
"นี่หมายความถึงอะไร ท่านเจ้าข้า?" ทูตสวรรค์จึงตอบท่านว่า
"คำอธิษฐานและการให้ทานของท่านขึ้นไปถึงพระเจ้าเป็นเหตุให้พระองค์ทรงระลึก
ถึงท่านแล้ว" ทูตสวรรค์จึงบอกโครเนลิอัสส่งคนไปหาอัครทูตเปโตร
ท่านก็เชื่อฟังทูตสวรรค์นั้น และได้ส่งคนไปเชิญเปโตรมายังบ้านของท่าน
และเมื่อเปโตรมาถึง
ท่านก็ได้อธิบายความจริงเรื่องความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์
โครเนลิอัสและเพื่อนของท่านที่ร่วมฟังคำเทศนาของเปโตรก็ได้รับความรอดในวัน
นั้น ความดีที่โครเนลิอัสไม่สูญเปล่า
เพราะท่านได้ตอบสนองต่อความรักของพระเจ้าที่ได้มอบให้แก่ท่าน
เรื่องราวทำนองเดียวกันนี้ก็ได้เกิดขึ้นในสมัยนี้ด้วยเช่นกัน
คนทั่วโลกต่างก็ได้ยินเรื่องราวของคนงานเหมือง 33
คนที่ติดอยู่ในเหมืองที่ประเทศชิลีนานถึง 69 วัน
พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากคนจำนวนมากจนรอดออกมาได้ทั้งหมด
ประสบการณ์ความทุกข์ยากและศรัทธาอันแรงกล้าของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้า
การพึ่งพาความช่วยเหลือจากพระเจ้าเป็นแรงบันดาลใจให้คนจำนวนมากมีความเชื่อ
เช่นเดียวกับพวกเขา
แอนเดรส ซูกาเรต หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการช่วยชีวิต
ซึ่งเป็นคนงานเหมืองคนที่ 24 ที่ได้รับการช่วยเหลือออกมา
ได้เล่าประสบการณ์ตอนที่พวกเขาติดอยู่ในเหมืองว่า
"เราร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า . เราทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัย .
และทุกคนยอมรับพระองค์ . หลายคนคืนดีกับพระเจ้า บางคนทำสัญญากับพระ
องค์ ช่วงเวลาแห่งการอธิษฐาน, การอ่านพระคัมภีร์
เป็นช่วงเวลาที่พิเศษที่สุดสำหรับคนงานเหมือง
เพราะมันเป็นเวลาเดียวที่พวกเขาได้มาอยู่ร่วมกัน, มี 12 คนในตอนกลางวัน
และ 6 คนในตอนค่ำ พวกเขามาอยู่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน"
มาริโอกล่าวไว้เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2010 ว่า
"ผมอยู่กับพระเจ้าและปิศาจ พระเจ้ากับปิศาจต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตัวผม
และพระเจ้าเป็นผู้ชนะ ผมรู้ว่าพวกเขาจะพาผมออกไป
ผมมีความเชื่ออยู่เสมอในความเป็นมืออาชีพของชิลีและในพระผู้สร้างผู้ยิ่ง
ใหญ่ เราทั้ง 33 คนเดินจูงมือไปกับพระเจ้า"
คนเหล่านี้รอดชีวิตเพราะพวกเขามีความเชื่อในพระเจ้า
และมีความหวังว่าจะได้รับการช่วยเหลืออย่างแน่นอน
พวกเขารู้ว่าชีวิตของพวกเขาอยู่ในกึ่งกลางระหว่างความเป็นกับความตาย
พวกเขามั่นใจในความรักของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา
และพวกเขามั่นใจในฤทธานุภาพของพระเจ้าเหนือความตาย ดังนั้น
พวกเขาจึงมีความหวัง ถึงแม้จะต้องรอคอยความช่วยเหลือเป็นเวลานาน
ผมหวังว่าชาวชิลีทั้ง 33
คนนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายคนที่ประสบความทุกข์ยาก
ที่จะมีความหวังและความอดทนในการรอคอยความช่วยเหลือจากพระเจ้า
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 284 วันที่ 6 - 12
พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 หน้า 27 คอลัมน์ พระวจนธรรม โดย ศจ.ดร.เสรี
หล่อกัณภัย
พิษภัยของสุรา คนตายเพราะกินเหล้ามากกว่าทำสงครามทุกปี
พิษภัยของการดื่มสุรา คนตายเพราะกินเหล้ามากกว่าทำสงครามทุกปี This album has 1 photo and will be available on SkyDrive until 01/30/2011. |
นักวิจัยอังกฤษระบุว่า สุราเป็นสารเสพติดอันตรายที่สุดเมื่อคำนึงถึงผลร้ายที่เกิดขึ้นกับผู้ดื่มและสังคม MCOT Online ลอนดอน 1 พ.ย.- นักวิจัยอังกฤษระบุว่า สุราเป็นสารเสพติดอันตรายที่สุดเมื่อคำนึงถึงผลร้ายที่เกิดขึ้นกับผู้ดื่มและสังคม คณะนักวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย คณะกรรมการวิทยาศาสตร์อิสระว่าด้วยยาเสพติดและที่ปรึกษาศูนย์สังเกตการณ์ยาเสพติดและการติดยายุโรป ได้จัดทำตารางอันดับความอันตรายของสารเสพติดขึ้นใหม่ เพราะการจำแนกประเภทสารเสพติดในปัจจุบันไม่คำนึงถึงอันตรายเท่าใดนัก ตารางใหม่จัดให้สุราอันตรายเป็นอันดับหนึ่ง เฮโรอีน อันดับ 2 โคเคนสำหรับสูบ หรือสูดควัน อันดับ 3 เห็ดเมา อันดับ 5 แอลเอสดี อันดับ 7 เอ็กตาซี หรือยาอี อันดับ9 แวเลี่ยม หรือยานอนหลับ อันดับ 15 กัญชา อันดับ 20 แอมเฟตามีน อันดับ 23 ยาสูบ อันดับ 26 การจัดอันดับคำนึงถึงอันตรายต่อผู้เสพ เช่น การเสียชีวิต การติดยา การสูญเสียความสัมพันธ์กับผู้อื่น และอันตรายต่อสังคม เช่น อาชญากรรม ความขัดแย้งในครอบครัว ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ความแตกแยกของชุมชน องค์การอนามัยโลกประเมินว่า สุราเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตปีละ 2.5 ล้านคน จากโรคหัวใจ โรคตับ อุบัติเหตุบนถนน การฆ่าตัวตาย และมะเร็ง คิดเป็นร้อยละ 3.8 ของการเสียชีวิตทั่วโลก และเป็นสาเหตุอันดับ 3 ที่ทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรและพิการ.-สำนักข่าวไทย
key words: การดื่มสุรา โทษภัยของการดื่มสุรา คริสเตียนกับการดื่มสุรา การเมาสุรา
คริสเตียนกินเหล้าได้หรือเปล่า
แหล่งข่าว ส่งต่อ 1 ต.ค.2010
[ข่าวคริสตชน www.KaoChristian.com] นักวิจัยอังกฤษระบุว่า สุราเป็นสารเสพติดอันตรายที่สุดเมื่อคำนึงถึงผลร้ายที่เกิดขึ้นกับผู้ดื่ม และสังคม
ทอมดี้ รักร่วมเพศ
นิยามศัพท์ที่ใช้ในรายงานนี้ กำหนดขึ้นโดยประมาณ จากข้อมูลซึ่งได้รับจากประชากรตัวอย่างศึกษาเป็นหลัก ทั้งนี้ด้วยความประสงค์ที่จะให้ผลงานที่เสนอ สะท้อน ความรู้ ความคิดเห็น และความเชื่อของกลุ่มเป้าหมายอย่างอย่างใกล้ความความเป็นจริงมากที่สุด ดังนั้นจึงไม่ใช้ศัพท์วิชาการที่ใช้ศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ แต่ได้พิจารณาแล้วว่าไม่มีความขัดแย้งกัน เพศสำนึก : หมายความถึงความคิด ความพอใจที่บุคคลแสดงออกหรือ สะท้อนถึงความรู้สึกทางเพศของตนเอง โดยมีความเป็นเพศ(Gender) ชายหรือหญิงเป็นรากฐาน ชายแท้ : หมายถึงบุคคลที่เป็นชาย และมีเพศสำนึกชัดเจนว่าตนเป็นชาย ทั้งนี้ชายแท้บางคนอาจจะเคยมีประสบการณ์ ร่วมกับเพศชายก็ได้ ไบ : หมายความถึงกลุ่มชายซึ่งมีเพศสำนึก ทั้งกับเพศชายและหญิงมิได้ยึดติด อยู่กับเพศใด เพศหนึ่ง ลักษณะทางกายภาพและบุคลิก ส่วนใหญ่เหมือนชายทั่วไป มีเพศสัมพันธ์กับชายหรือหญิง โดยมีบทบาทเป็นทั้งฝ่ายรุกหรือรับก็ได้ คำศัพท์ที่นิยมใช้เรียกบุคคลในกลุ่มนี้ทั่วไปเรียกว่า “เสือไบ” หรือ “ไบ” เกย์ เป็นคำนามที่กลุ่มชายรักชาย นิยมใช้เป็นคำจำเพาะ หมายถึงชายรักชายซึ่งมีความนิยมทางเพศยึดมั่นอยู่กับเพศชาย มักจะแสดงออก ที่สะท้อนสำนึกผูกพันกับชาย ทั้งทางอารมณ์ เพศสัมพันธ์และทางสังคม บุคคลในกลุ่มนี้มีเงื่อนไขกำหนดว่าจะไม่มีประสบการณ์ทางเพศกับเพศหญิง หรืออาจจะมี
-ชวนีย์ จันทร์น้อย กล่าวถึงพฤติกรรมรักร่วมเพศว่าเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกในลักษณะที่เป็นแบบแผน ระยะยาวของการมีความพึงพอใจทางเพศ ที่ไม่สามารถกระตุ้นเร้าทางเพศได้ด้วยเพศตรงข้าม แต่อารมณ์ความรู้สึกและความสนใจทางเพศสามารถกระตุ้นได้โดยบุคคลเพศเดียวกัน
-นุจรี เตชะปัญญาชัย ให้นิยามว่า รักร่วมเพศ หมายถึง การมีความพึงพอใจกับคนที่มีเพศเดียวกันอย่างเดียวหรือส่วนใหญ่ โดยอาจมีความสัมพันธ์ทางเพศต่อกันหรือไม่ก็ได้ หรือบุคคลที่มีแรงจูงใจในการมีความพึงพอใจทางเพศกับคนเพศเดียวกัน จะนำไปสู่การมีความสัมพันธ์ทางเพศ แต่ก็อาจจำกัดเพียงแค่จินตนาการทางเพศกับเพศเดียวกันก็ได้
-จำลอง ดิษยวณิช ให้คำจำกัดคำว่า รักร่วมเพศ ( Homosexuality ) คือความต้องการที่จะมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคนเพศเดียวกัน ซึ่งอาจเป็นเพียงการสัมผัสร่างกายภายนอกไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ หรือประกอบกิจจนถึงจุดสุดยอด ก็ถือว่าเป็นรักร่วมเพศ
จากความหมายต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น สรุปได้ว่า รักร่วมเพศหมายถึง ชายที่มีความรู้สึกทางเพศ หรือความสุขความพอใจทางเพศต่อเพศเดียวกัน บุคคลประเภทนี้แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ 1)กลุ่มผู้ที่มีพฤติกรรมเปิดเผย โดยทั่วไปเรียกว่ากระเทย หมายถึง ชายรักร่วมเพศที่ชอบแต่งกายเป็นเพศหญิง กิริยาท่าทางเป็นเพศหญิง 2)กลุ่มพฤติกรรมไม่เปิดเผย โดยทั่วไปรียกว่าเกย์ หมายถึง ชายรักร่วมเพศที่มีลักษณะภายนอกเหมือนชายปกติทั่วไป
สำหรับการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเฉพาะชายรักร่วมเพศ กลุ่มที่ 1 คือ กระเทย ชายรักร่วมเพศที่มีพฤติกรรมเปิดเผย ซึ่งสำหรับความหมายของคำว่ากระเทยหรือรักร่วมเพศที่มีพฤติกรรมเปิดเผย แบ่งเป็น 4 ประเภทคือ
Homosexualism : Homosexual มาจากภาษากรีก มีรากศัพท์ว่า Homos แปลว่าเหมือนกัน อย่างเดียวกัน เพราะรักร่วมเพศเกิดขึ้นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง หมายถึง บุคคลที่มีความต้องการทางเพศกับบุคคลที่เป็นเพศเดียวกับตน ถึงแม้เคยมีกิจกรรมทางเพศกับบุคคลต่างเพศอยู่ก็ตามที แต่ก็มีความต้องการบุคคลเพศเดียวกันไม่ได้ โดยกลุ่มนี้ไม่ได้มีความต้องการที่จะแปลงเพศ ให้เป็นเพศตรงข้ามเขาจะพอใจในเพศที่ตนเองเป็นอยู่เพียงแต่ต้องการมี เพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันเท่านั้นเอง ส่วนพวกที่มีกิจกรรมทางเพศกับเพศเดียวกันแบบชั่วคราว เช่น ตอนวัยรุ่นอาจเคยร่วมสำเร็จความใคร่กับเพื่อนๆ โดยอาจผลัดกัน หรือไปอยู่ในที่ที่มีแต่บุคคลเพศเดียวกัน เช่น ติดคุก หรือ อยู่โรงเรียนผู้ชาย มีแต่ชายล้วน แล้วทนต่อความต้องการทางเพศไม่ไหว ใช้เพื่อนระบายอารมณ์ทางเพศ ก็ไม่เป็นกลุ่มเพศที่สาม
Hermarphrodite: กลุ่มนี้หมายถึง กะเทยแท้ๆ ประเภทที่มีระบบสืบพันธุ์ทั้งสองเพศในคนเดียวกัน เช่น อาจมีอวัยวะเพศภายนอกเป็นลักษณะเพศหญิง แต่แอบมีอัณฑะอยู่ในตัวด้วย
Transexualism: ที่รู้จักในนามกะเทย มีความรู้สึกไม่พอใจในเพศที่ตนเองเป็นอยู่ ต้องการเปลี่ยนแปลงเป็นเพศตรงข้าม ยอมรับตนเองในฐานะที่เป็นเพศตรงข้าม
Transvestis : ประเภทนี้ เป็นกลุ่มที่มีความต้องการทางเพศหรือมีความสุขเมื่อได้สวมใส่เสื้อผ้าของ เพศตรงข้าม แต่ยังพอใจในการมีเพศสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม ไม่มีความคิดที่จะมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันเลย เช่น ผู้ชายบางคนที่ชอบแต่งตัวชุดสตรีแล้วช่วยกระตุ้นให้มีความรู้สึกทางเพศที่ คึกคักขึ้น โดยยังอยากมีกิจกรรมทางเพศกับผู้หญิงเท่านั้น รูปแบบการปฏิบัติทางเพศของพวกรักร่วมเพศชาย
การปฏิบัติทางเพศของพวกรักร่วมเพศชาย ก็เหมือนการร่วมเพศระหว่างชายกับหญิง ต่างกันตรงที่ไม่ได้ร่วมเพศด้วยองคชาต กับช่องคลอดเท่านั้น
รักร่วมเพศชายจะมีบทบาททางเพศ 3 อย่าง คือ เป็นฝ่ายกระทำ เป็นฝ่ายถูกกระทำ หรือแบบผสม แต่การร่วมเพศทางทวารหนักค่อนข้างจะมีลักษณะแน่นอนว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายกระทำ หรือฝ่ายถูกกระทำ อย่างไรก็ตามรักร่วมเพศชายส่วนใหญ่มักมีบทบาททางเพศแบบผสม คือ จะเป็นแบบใดก็ได้ ตามที่คู่ของตนแต่ละคนพอใจ และมีส่วนน้อยเท่านั้นที่มีบทบาทเป็นหญิงหรือชายแน่นอน พวกที่ชอบมี บทบาทเป็นหญิงเราเรียกว่า ควีน กระเทย ลักษณะที่สังเกตได้คือ ท่าทางกระตุ้งกระติ้ง กระชดกระช้อย ซึ่งมักจะเกินกว่ากิริยาของหญิงทั่วๆ ไปด้วยซ้ำ ส่วนอีกพวกที่มีบทบาทเป็นชายเราเรียกว่า เกย์ ลักษณะที่บอกได้คือ การมีรูปร่างใหญ่ อกหนา และเป็นนักเพาะกาย รูปร่างของพวกเกย์นี้จะช่วยกระตุ้นอารมณ์เพศ ของคู่ที่ต้องการลักษณะของความเป็นชาย หรือความเป็นพ่อซึ่งเขาไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดในวัยเด็ก การร่วมเพศทางทวารหนักจะไม่มีอันตราย ถ้ารู้จักกระทำอย่างถูกต้อง โดยใช้ครีมหล่อลื่น และใช้นิ้วนวดก่อนที่จะสอดอวัยวะเพศเข้าไป แต่อย่างไรก็ตาม เพศสัมพันธ์แบบนี้ยังเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ในบางประเทศ แม้ว่าจะกระทำระหว่างชายกับหญิงก็ตาม ผู้ชายบางคนนิยมการมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าเป็นครั้งเป็นคราว ดังนั้นเขาจึงต้องพยายาม ค้นหาบุคคลประเภทเดียวกันตามสถานเริงรมย์ต่างๆ หรือตามห้องพักผู้ชาย ในเมืองใหญ่ๆ จะมีเกย์บาร์ ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับพบปะสังสรรค์ของพวกผู้ชายเหล่านี้ ซึ่งก็ดูจะไม่เพียงพอสำหรับพวกรักร่วมเพศ ปัจจุบันพวกเขาจึงพยายามหาวิธีให้พวกตนได้พบปะกันอย่างสะดวก โดยการก่อตั้งสมาคม หรือศูนย์กลางของพวกตนขึ้น พฤติกรรมรักร่วมเพศอาจเกิดขึ้นชั่วคราวในระหว่างการพัฒนาทางบุคลิกภาพตาม ปกติของคนเรา คือ ตั้งแต่ระยะเริ่มเข้าโรงเรียนจนถึงระยะแตกหนุ่มแตกสาวและจะค่อยๆ หายไปเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น หรืออาจเกิดได้ในบางสภาวะ เช่น ในขณะที่อยู่โรงเรียนประจำ ในค่ายทหาร หรือในคุกซึ่งขาดแคลนเพศตรงกันข้าม เมื่อผ่านระยะหรือสภาวะเหล่านี้ไปแล้วเขาก็มัก จะมีพฤติกรรมทางเพศเป็นปกติ
การรักษา โดยทั่วไปคนที่เป็นโรครักร่วมเพศไม่ต้องการรักษา นอกจากจะมีปัญหาทางจิตใจ หรือปัญหาทางบุคลิกภาพร่วมด้วย การรักษาแบ่งเป็น 2 ประการ คือ 1. รักษาโรครักร่วมเพศ ได้แก่ ก. จิตวิเคราะห์ เพื่อให้ผู้ป่วยได้เข้าใจความขัดแย้งภายในจิตไร้สำนึกของตน อันเป็นสาเหตุของการเกิดรักร่วมเพศ และสามารถรู้วิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง วิธีนี้ได้ผลดีพอควรในคนที่มีความตั้งใจจะรักษา ข. พฤติกรรมบำบัด ที่รายงานว่าได้ผลคือ อะเวอร์ชั่น เทอราปี (Aversion therapy) วิธีทำคือ ให้ผู้ป่วยดูรูปภาพที่กระตุ้นอารมณ์รักร่วมเพศของตนและในขณะเดียวกันก็ให้ ได้รับความเจ็บปวด หรือความรู้สึกไม่สบาย โดยการกระตุกด้วยไฟฟ้า หรือให้อาเจียนโดยการฉีดยาบางอย่าง 2. รักษาปัญหาทางอารมณ์หรือปัญหาบุคลิกภาพ โดยวิธีเดียวกับการรักษาผู้ป่วยอื่นทั่วไป ในปี 1973 สมาคมจิตแพทย์อเมริกัน (American Psychiatric Association) ได้ออกมายืนยันผล การวิจัยใหม่ ๆ และสนับสนุนให้ถอดถอนคำว่า 'homosexuality' ออกจากตำราการรักษาอาการป่วยทางจิต อย่างเป็นทางการ และในปี 1975 สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (the American Psychological Association)ได้ลงมติสนับสนุนด้วยเช่นเดียวกันทั้งสองสมาคมนี้เป็น แรงผลักดันให้กลุ่มที่เป็นผู้ชำนาญ ทางด้านโรคจิตทั้งหลาย หันมาช่วยกันทำหน้าที่ให้ความรู้ที่ถูกต้อง แก่ประชาชนทั่วไป ที่ ประณาม หรือมีความเข้าใจที่ผิด ๆ ว่า วิถีทางเพศเป็นเรื่องของอาการป่วยทางจิต นับจากปีที่มีการเปลี่ยนแปลง ความเข้าใจเรื่องวิถีทางเพศที่ผ่านมาแล้ว ทั้งสองสมาคมก็มีผลงานวิจัยอีกหลายชิ้นออกมายืนยันสนับสนุนว่า วิถีทางเพศไม่ใช่อาการป่วย
เมื่อได้ข้อมูลที่เพียงพอต่อการตัดสินใจ และผ่านการตรวจด้านสภาวะจิตใจ แพทย์จึงจะทำการผ่าตัดให้ ขั้นตอนการผ่าตัด เพื่อแปลงเพศซึ่งแพทย์จะใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 2-3 ชั่วโมง โดยมีขั้นตอนการผ่าตัด ดังนี้ 1. วางยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์ เพื่อไม่ให้คนไข้มีอาการเจ็บ หรือปวดในระหว่างการผ่าตัด 2. กรรมวิธีการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิงนั้น แพทย์จะทำการสร้างช่องคลอดใหม่ โดยใช้เนื้อเยื่อในส่วนที่อยู่หน้าบริเวณท่อทวารหนัก ย้ายไปอยู่เหนือท่อทวารหนักในระดับที่อยู่ใต้ท่อปัสสาวะ แล้วผ่าตัดเปิดผิวหนังให้เป็นช่องที่กว้างและลึกพอ โดยมีระยะความกว้างประมาณ 1.5-2 นิ้ว ก็จะได้ช่องคลอดเทียมที่สร้างขึ้นใหม่ ลักษณะคล้ายช่องคลอดของเพศหญิง 3. จากนั้นขั้นตอนต่อไปคือ การดึงผิวหนังจากบริเวณอวัยวะเพศชายของคนไข้ไปติดกั้นเป็นผนังช่องคลอด โดยหนังที่ถูกนำไปปลูกบริเวณนี้ได้มาจากหนังที่หุ้มอวัยวะเพศชายเดิม ความลึกของช่องคลอดจึงขึ้นอยู่กับความยาวของอวัยวะเพศชายเดิมด้วยเช่นกัน 4. อีกวิธีหนึ่งในการสร้างช่องคลอดเทียม คือ การตัดต่อท่อปัสสาวะเพศชายที่ยาวให้สั้นลง แล้วตกแต่งให้ใช้งานเปิดปิดในตำแหน่งที่สามารถนั่งปัสสาวะได้ เพราะหากเอาไว้ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องเวลาที่นั่งปัสสาวะก็อาจจะพุ่งขึ้นได้ จากนั้นจึงเปิดช่องบริเวณนั้น เพื่อสร้างช่องคลอดเทียม 5. การตกแต่งรูปร่างภายนอกช่องคลอด เช่น แคมเล็กหรือแคมใหญ่ แพทย์จะใช้เทคนิคพิเศษเพื่อเลียนแบบแคมให้ได้ใกล้เคียงกับอวัยวะเพศหญิง โดยใช้หนังบริเวณที่หุ้มลูกอัณฑะ ด้วยวิธีการตัดลูกอัณฑะออก แล้วนำหนังและเนื้อเยื่อรอบ ๆ มาตกแต่งเพื่อสร้างรูปลักษณ์ของอวัยวะภายนอกให้เหมือนของอวัยวะเพศหญิงให้ มากที่สุด 6. ขั้นตอนสุดท้าย คือ การตกแต่งประสาทรับความรู้สึกให้เป็นปุ่มรับความรู้สึกทางเพศหญิง เรียกว่าปุ่มคลิตอริส (Clitoris) ซึ่งโดยทั่วไปพบว่าความรู้สึกทางเพศ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเดิม แต่กลับมีความมั่นใจขึ้นกว่าเดิมเสียอีก เมื่อเรียบร้อยก็เป็นอันเสร็จพิธี คุณจะได้อวัยวะเพศหญิงสมใจ
หลังการผ่าตัดจะต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 5-7 วัน เพื่อจะได้อยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
1.สถานภาพของชายรักร่วมเพศ ของผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสวนปรุง 2.พัฒนาการเพศสำนึกและเพศสัมพันธ์ 3.บริบทสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเริ่มความสัมพันธ์ทางสังคมและทางเพศ 4.ลักษณะความสัมพันธ์ของสมาชิกภายในครอบครัว ของผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสวนปรุง 5.แนวคิดของชายรักร่วมเพศเกี่ยวกับความสุข แนวทางการดำเนินชีวิต ต่อตนเอง ครอบครัว และในสังคม ของผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสวนปรุง
(1).สถานภาพของชายรักร่วมเพศ ของผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ จากการศึกษาสถานภาพ ของชายรักร่วมเพศ ของผู้ป่วย จำนวน 3 คน จำแนกเป็นชายรักร่วมเพศกลุ่มเปิดเผย หรือ กระเทย ทั้งหมด จำนวน 3 คน 1. อายุ ของกลุ่มศึกษาทั้งหมด มีอายุ ระหว่าง 26-30 ปี 2. ระดับการศึกษา เมื่อ พิจารณาในด้านพื้นฐานการศึกษา จะเห็นความชัดเจนที่แตกต่างกันชัดเจนมาก และส่งผลถึงอาชีพและทัศนคติ ความคิด กล่าวคือ จากชายรักร่วมเพศ 1 ใน 3 ของกลุ่มศึกษา มีเพียง 1 คนที่ได้รับการศึกษาในระดับที่ต่ำคือ ระดับประถมศึกษา และระดับการศึกษาระดับอุดมศึกษา 2 คน 3. อาชีพ มีการประกอบอาชีพที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นผลที่เชื่อมโยงมาจากระดับการศึกษา อย่างชัดเจน ประกอบอาชีพอิสระในลักษณะ เป็นเจ้าของกิจการ หรืองานที่เกี่ยวข้องกับการบริการโดยตรง ได้งานด้านบริการ ได้แก่ งานบาร์ร้านอาหาร ผับ/คาแฟ่/คาราโอเกะ 1 คน งานบริษัทเอกชน 2 คน 4. รายได้ เมื่อพิจารณาจาก การประกอบอาชีพของกลุ่มที่ศึกษาแล้ว มีรายได้ที่แตกต่างกัน ชายรักร่วมเพศที่ประกอบอาชีพอิสระจะมีรายได้ที่ไม่มั่นคง มีรายได้พอสมควรแก่การดำรงชีวิต ชายรักร่วมเพศที่ทำงานบริการ 1 คน จะมีรายได้ที่ค่อนข้างต่ำกว่า 2,500 บาทต่อเดือน ซึ่งนอกเหนือจากงานบริการที่ทำแล้ว ยังมีรายได้จากการขายบริการทางเพศเสริมด้วย รายได้จากการขายบริการทางเพศ ประมาณคืนละ 300-1,000 บาท ชายรักร่วมเพศที่ทำงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ 2 คน จะมีรายได้ที่ ค่อนข้างสูงในการดำรงชีพ และมีรายได้ที่มั่นคง ระบุว่าไม่มีรายได้จากการขายบริการทางเพศ 5. ข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัว ชายรักร่วมเพศที่ทำการศึกษา ได้รับอิทธิพลจากครอบครัว ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาการทางความคิด ทัศนคติ การกระทำ จนทำให้เกิดเป็นพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ ทั้งหมด ซึ่งเมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้ว พบข้อมูลที่เกี่ยวกับครอบครัวของทั้ง 3 คน มีส่วนที่คล้ายคลึงกัน กล่าวคือ ชายรักร่วมเพศทั้ง 3 คน มีข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวดังนี้ บิดาและมารดาหย่าร้างกันกันอยู่ 2 คน และบิดามารดาเสียชีวิต 1 คน ชายรักร่วมเพศทั้ง 3 คนมีความคล้ายคลึงกันตรงที่ ครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ คือ ขาดบิดาและขาดทั้งบิดาและมารดา เป็นลูกคนเดียวจำนวน 2 คน และเป็นลูกคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้องทั้งหญิงและชายทั้งหมด 5 คน 6. สถานภาพสมรส เมื่อ พิจารณาจากสถานภาพการสมรสพบว่ามีความ เหมือนกันคือ สถานภาพโสด โดยไม่มีการสมรส หรือผ่านการสมรสกับผู้หญิงมาก่อน ทั้ง 3 คน 7. ที่อยู่อาศัย ชายรักร่วมเพศจำนวน 2 คนจะอาศัยอยู่กับมารดา และพักอาศัยอยู่ตามลำพัง 1 คน
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่แน็ก(นามสมมุติ) : "ชอบเล่นขายของ เดินเป็นนางแบบ มีความสุขเมื่อใส่เสื้อผ้าผู้หญิง ชอบใส่รองเท้าส้นสูง ทาลิปสติกของแม่ แม่ไม่ได้ว่าอะไร เริ่มชอบเพื่อนในห้องเรียนเมื่ออายุ 10 ปี ชื่อ พี่ ล.อ. (นามสมมุติ) รู้สึกว่าตนเองไม่เหมือนผู้ชายคนอื่น อ่อนแอ อย่างให้คนอื่นปกป้อง"
การได้เรียนรู้บทบาทหน้าที่ที่ผิด หรือการที่ครอบครัว โดยเฉพาะบิดามารดา มีความเอาใจใส่ในบุตรคนใดคนหนึ่งหรือปล่อยปละละเลยบุตร ขาดการดุแลสั่งสอน เอาใจใส่ ก็ มีส่วนทำให้เด็กเกิดพฤติกรรมหรือความคิดเบี่ยงเบนทางเพศได้เช่นกัน
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่ปอ(นามสมมุติ) : "ฐานะครอบครัวทางบ้านไม่ค่อยดี พูดตรงๆยากจนมาก พี่เป็นลูกคนที่3 มีพี่ชาย2คน มีน้องอีก 2 เป็นผู้หญิง พี่ชายทั้ง 2 รวมพี่อีกคนได้เรียนถึงแค่ ป.4 ต้องทำนา ตากแดดจนดำ สกปรก ลำบาก ส่วนน้องผู้หญิงได้เรียนหนังสือ จึงทำให้พี่รู้สึกว่าการเกิดเป็นผู้ชายนั้นต้องลำบาก ไม่ได้รับสิ่งดีๆสักเท่าไหร่ เมื่อเปรียบเทียบกับน้องสาวแท้ๆของพี่ เธอทั้งสองมักมีคนดูแลเอาใจใส่ ส่วนพี่ก็ปล่อยไปตามยถากรรม ให้ไปไหนมาไหนเองตลอด สิ่งที่พี่ได้เรียนรู้ในตอนเด็ก คือความลำบาก จึงคิดในใจว่า "ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงดี" "
การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายครั้งแรกอาจจะเป็นเพราะสถานการณ์สภาพแวด ล้อม การ ทำให้เกิดมีอารมณ์อยากรู้ อยากลอง หรือส่วนหนึ่งอาจเป็นความต้องการในจิตสำนึกของตนเองเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว หรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ จึงเกิดการฝังใจ เรียนรู้บทบาททางเพศที่ไม่ถูกต้อง รู้สึกว่า "ชอบ ติดใจ" กับการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกกับผู้ชาย
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่แน็ก(นามสมมุติ) : "เมื่อตอน อายุ 13 อยู่ ม.1 โรงเรียนประจำ อาบน้ำกับเพื่อนตามประสาผู้ชาย วัดขนาด เอามือจับ ทำให้จนเสร็จแล้ว ชวนไปห้องน้ำใช้ปากทำให้ รู้สึกเสียวดี มีความสุขเพราะไม่เคยมี เซ็กซ์กับใคร พอใกล้เสร็จ เขาคงรู้เลยว่าอย่างลองเอา ประตูหลังกัน ชอบ มันส์สุดๆ แต่ตอนนั้นเด็กก็มีความกลัวอยู่บ้าง เจ็บมากๆเลย รู้สึกว่าพี่ชอบผู้ชายเต็มตัวและเราก็เป็นผู้หญิงเต็มๆตัวด้วยเหมือนกัน"
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่ปอ(นามสมมุติ) : "ระหว่างที่พี่เดินผ่านสนามหลวงมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ16-18 ปีเข้ามาทักทายและชวนไปนอนที่ห้องด้วย เพราะพักอยู่คนเดียว ในระหว่างที่ พี่กำลังนั่งเคลิ้มๆหลับอยู่บนรถ นั้นพี่ก็ รู้สึกว่ามีอะไรมากระทบที่อวัยวะเพศของพี่ พอลืมตาดูก็ปรากฏว่าเขากำลังใช้ปากทำให้ ความรู้สึกเสียวซ่านไปทั่วตัว พี่ก็ไม่ว่าอะไรนะ(หัวเราะ) ปล่อยเลยตามเลยไปรู้สึกว่าชอบมากๆและมีความสุขมากๆ และคืนนั้น ก็จบลงที่เรามีเซ็กส์โดยการพี่เป็นฝ่ายรับ ตอนเช้าพี่ก็ไปทำงานเขาก็กลับบ้าน และนัดเจอกันอีก มีเซ็กส์กันตลอด ในระยะเวลา 2 อาทิตย์ ทำให้พี่รู้จักความต้องการของพี่ดีขึ้น ตอนนั้นสนามหลวงมีทั้งขายบริการ การหาคู่นอนชั่วคราวของชาวเกย์และกระเทย "
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่คิด(นามสมมุติ) : " ประมาณที่พี่อยู่ ป.4-ป.5 ไปเที่ยวบ้านญาติที่ต่างจังหวัด ได้รู้จักกับญาติคนหนึ่งมีศักดิ์ เป็นน้าพี่ เขาชอบมาคลุกคลีกับพี่จนพี่รู้สึกได้ ครั้งหนึ่งเขาขอมีเซ็กซ์ กับพี่โดย ใช้ปาก ตอนนั้นพี่ยังเด็ก และก็ไม่ทราบว่ามันคืออะไร พอจบ ป.6พี่ก็ไปที่กรุงเทพฯ เพราะคิดว่าจะไปเรียนต่อที่โน่น พี่ไปพักอยู่กับพี่สาวต่างแม่ ที่มีลูกชายคนโต อายุร่นราวคราวเดียวกับพี่ โดยที่เขามีศักดิ์เป็นหลานของพี่ คืนนั้นที่ห้องนอนพี่ หลานชายคนนี้ จู่ๆก็เข้ามากอด ลูบๆ คลำๆ แล้วก็ลงเอยด้วยการมีเซ็กซ์กันเหมือนที่น้าทำกับพี่ และยิ่งกว่านั้น พี่ยังบังเอิญไปเห็นหลานชายคนนี้ ทำกับพ่อเลี้ยงของเขาเหมือนกับที่ทำกับพี่ ตอนนั้นพี่ก็เลยเข้าใจไปเองว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายเขาปฏิบัติต่อกัน และก็ยังรู้สึกว่าตัวพี่เองชอบ และไม่ได้มีความผิดปกติไปจากคนอื่น แต่ทุกอย่างก็ถูกเก็บเป็นความลับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา"
3.บริบทสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเริ่มความสัมพันธ์ทางสังคมและ ทางเพศ สภาวะแวดล้อมซึ่งผู้วิจัย ได้เริ่มรู้จัก ทำความสนิทสนมกับ กลุ่มชายรักร่วมเพศแล้ว แสดงให้เห็นว่ามีพัฒนาการ การรับรู้ทางเพศ จากช่วงที่อยู่ในวัยเด็กมาเรื่อยๆ กลุ่มชายฯที่ได้ศึกษาจะรับรู้ว่าตนเองชอบชายชัดเจน ควบคู่ไปกับการประจักษ์ว่าสังคมทั่วไป ยังไม่ยอมรับในพฤติกรรมชายรักร่วมเพศ โดยเฉพาะเรื่องเพศสัมพันธ์ระหว่าง ชายกับชายจะมีคำวิพากษ์วิจารณ์ ว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ปกติ สภาวะแวดล้อมที่สร้างความแปลกแยกนี้ทำให้การสร้างความสัมพันธ์ทั้งทางสังคม และเพศสัมพันธ์ ซึ่งต้องมีการการสื่อสาร ด้วยภาษากาย อาศัยสายตา และการ นั่ง-เดิน-ยืน เป็นสำคัญ และต้องอาศัยบริบทสิ่งแวดล้อมเพื่อเอื้อให้เกิดสังคมของกลุ่ม ชายรักร่วมเพศมาก ดังนั้นสถานภาพของบริบทจึงเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อ สังคมชายรักร่วมเพศ มากพอสมควร จำแนกเป็นประเภทใหญ่ๆได้ 3 ประเภท ได้แก่
1)สื่อมวลชนในลักษณะต่างๆ ได้แก่ วารสาร นิตยสาร รวมทั้ง โทรศัพท์ อินเตอร์เน็ท เป็นต้น
2) สถานที่สาธารณะ เช่น สวนสาธารณะ สวนหย่อม สนามกีฬาสาธารณะ และห้างสรรพสินค้า และ
3) สถานบันเทิงต่างๆ เช่น โรงภาพยนตร์ ผับ บาร์ คาราโอเกะ และซาวน่า
การใช้บริการในแต่ละ บริบทสิ่งแวดล้อมในแต่ละ กลุ่มอาชีพแตกต่างกัน หรือตามความชอบ
นิตยสาร ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยที่เป็นที่รู้จักกับใน หมู่ชายรักร่วมเพศ มานานเป็นเวลากว่า 10 ปี เช่น หนังสือ "นีออน" ที่พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2527 ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางให้กลุ่มชายรักร่วมเพศ ติดต่อรู้จักกันด้วยนิตยสาร และนิตยสารอื่นๆ เช่น มรกต มิถุนา และ MALE เป็นต้น
สื่อโทรคมนาคม บริการโทรศัพท์ปัจจุบันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ พัฒนาเป็นสื่อธุรกิจทางเพศ เช่น เกย์ไลน์ บัดดี้ไลน์ และปาร์ตี้ไลน์ เป็นต้น โดยผู้จัดบริการจะมี เบอร์โทรศัพท์ให้แก่ผู้ใช้บริการ ติดต่อหาผู้ที่สนใจหรือหาความพอใจทางเพศด้วย จะคิดบริการแก่สมาชิก ด้วยอัตรา ประมาณ 500-1,200 บาทต่อเดือน หรือจะเป็นการติดต่อทางอินเตอร์เน็ท เช่น Website ที่เป็นแบบ chat room
ManOnly(1) http://manloveman.web1000.com/
ThaiSexStory http://www.ThaiSexStory.com/showmenu.pl?cate=g
Boy on the net http://www.Boyonthenet.com/
GayMate http://www.Gaymate.zath.net/
GayBKK http://www.siam.to/gaybkk/
30 Up http://www.30up.org/
#เกย์ม.ปลาย http://www.go.to/gaymoplai
GLifeStyle http://www.Glifestyle.com/
???????? http://lovekrittaya.spaces.live.com
จากการให้สัมภาษณ์ของ พี่คิด(นามสมมุติ) : " Buddy Line ไม่เสียเงินช่วง Promotion เล่นได้ครั้งละ 10 นาที 3 ครั้ง ต้องรออีก 3 ชั่วโมงจึงเล่นได้อีก คุยกันเยอะมาก ชอบคุยกันเรื่อง เซ็กซ์, sex phone ชอบมากสนุก ฟังคนแนะนำแปลกๆ เช่น ช่วงนี้ผม อยากเย็ด คนผิวขาวๆ..." "เล่นเมื่อ 1 ปี ก่อนเล่นบ่อยมาก ตอนนี้ ไม่เล่นแล้วเหมือนคนโรคจิต "
จากการให้สัมภาษณ์ของ พี่แน็ก(นามสมมุติ) : "โทรไปหาคนที่ลงใน Net แล้วนัดไปมี เซ็กซ์กัน นัดเจอกันที่นอกบ้าน พี่อยู่กับแม่หน่ะเลยเกรงใจ ไม่อยากให้แม่รู้ว่าทำอะไรกัน จะเลือกคนที่หุ่นดี ดูแมนๆหน่อยก็จะมีเซ็กซ์ด้วย"
สวนสาธารณะ สำหรับชายรักร่วมเพศบางกลุ่ม ก็เป็นสถานที่นัดพบปะเพื่อนฝูง ออกกำลังกาย และหาคนถูกใจในเวลาเดียวกัน บางรายถึงกับกล่าวว่า "ที่นี่เป็นสวรรค์ที่ไม่มีชนชั้น" ชายรักร่วมเพศที่มาส่วนใหญ่ นั้นจะมาเพื่อหาความสุขชั่วคราวเท่านั้น
จากการให้สัมภาษณ์ของ พี่แน็ก(นามสมมุติ) : "ไม่ค่อยได้ออกไปนะ ก็ตอนนั้นยังไม่ได้เปิดเผยตัวหนิ เลยกลัวคนที่รู้จักมาเห็น ส่วนใหญ่ก็จะเจอเพื่อนสาวเหมือนกัน มานั่งเมาท์กันและก็หาเหยื่อถ้าขับรถผ่านๆนะ เห็นพวกขายบริการตามต้นไม้ เสาไฟ เต็มเลย "
"....ส่วนใหญ่ๆที่ทราบๆ ก็สวน.....ดอก (นามสมมุติ) และสวน...(อ่าง)แก้ว (นามสมมุติ) ช่วงกลางวันจะนั่งรวมกันเป็นกลุ่มๆ ตอนค่ำจะนั่งหรือยืนอยู่ในมุมมืดๆ เป็นที่เปลี่ยวๆ นั่นแหละเกย์เลย ไม่งั้นก็ขายตัว "
จากการให้สัมภาษณ์ของ พี่ปอ(นามสมมุติ) : "ชอบเที่ยวแถวสวนสาธารณะมากกว่า ไม่ต้องเสียเงิน ได้เจอเพื่อนกระเทยสาวๆด้วย เผลอๆได้มันส์ แถมได้เงินใช้ฟรีๆด้วย แต่ต้องเป็นสวนที่พวกเนี้ยะ(ชายรักร่วมเพศ)รู้กันนะจ๊ะ "
ห้างสรรพสินค้า เป็นสถานที่ที่กว้างขวาง ความนิยมในแต่ละห้าง มากน้อยต่างกัน พื้นที่บริเวณใดที่มีโอกาสได้รู้จักกับชายรักร่วมเพศ ก็จะมีการบอกต่อๆกัน โดยเฉพาะหน้าห้องน้ำชายจะมากบริเวณที่ไม่ค่อยมีคนใช้บริการ หรือมุมที่มีโทรศัพท์สาธารณะ
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่คิด(นามสมมุติ) : " พี่ไปเที่ยวห้าง ก.ส.ก. (นามสมมุติ) และ ห้าง ซ็.ท.อ.พ.พล.ซ่. (นามสมมุติ) บ่อย มีคนเข้ามาทัก "คุณน่ารักจังเลยครับ" ให้นามบัตรกับพี่ "เราไปกินข้าวกันนะ โทรไปหาพี่นะ" รู้สึกว่าเขาจะมากับเมียนะ เมียเขาเลือกของอยู่ มองไปเห็นเขามองพี่อยู่ก่อนแล้ว ปลีกตัวจากผู้หญิงเข้ามาทักพี่ พี่ไม่ได้ให้เบอร์โทรเขาไป และพี่ก็ไม่โทรไป สงสารผู้หญิงนะ ไม่อยากลงหน้าหนึ่ง กระเทยสาวดับอนาถ ชะนีตามฆ่าถึงหอพัก เหตุแย่งสามีกัน (หัวเราะ)"
สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ เป็นสถานที่สังสรรค์ของกลุ่ม ชายรักร่วมเพศ อีกรูปแบบหนึ่ง แต่จะเป็นที่ทราบกันว่าเป็นสถานที่เฉพาะของกลุ่มชายรักชาย สถานบันเทิงเหล่านี้ก็จะตั้งอยู่ในย่านใกล้เคียงกัน ในร้านก็จะมีโชว์พิเศษทุกคืนหรือในวันหยุด บางแห่งอาจจะจัดพื้นที่ส่วนหนึ่งให้บริการลูกค้าที่ต้องการมีเพศสัมพันธ์กัน
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่คิด(นามสมมุติ) : " ช่วงก่อนที่ยังไม่ได้เปิดเผยตัว ก็ไปบ่อยนะ ไปบ่อยมากแทบทุกวันเลย ไปพบปะเพื่อนๆ ก็สนุกสนาน ไม่ได้ตั้งใจไปหาคู่นอน แต่ถ้าได้กลับมาก็ถือ ว่ากำไร ไปเพื่อคลายเครียดและสนุกสนาน การแสดงออกในที่เที่ยวจะมีมาก เพราะอยู่ในสังคม กลุ่มคนแบบเดียวกัน ไม่ต้องคอยแอ๊ปแมน อึดอัด แต่อย่างน้อยการมี พื้นที่ชั่วคราว ตรงนี้คง ช่วยให้ชีวิตที่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ของพวกพี่(ชายรักร่วมเพศ ได้มีความหมายขึ้นมาบ้าง ก็เท่านั้นเอง "
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่แน็ก(นามสมมุติ) : "ไม่ชอบเที่ยวสถานที่แบบนี้สักเท่าไหร่ ดูเหมือนพวกมั่ว มองดูสกปรกยังไงไม่รู้ เหมือนพวกไม่อิ่มในรสสวาท หาคนจริงใจยาก "
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่ปอ(นามสมมุติ) : "เหมือนไม่ได้เที่ยวเลย ก็ทำงานอยู่ทุกวัน ถ้าชอบก็จะเป็นที่สวนมากกว่า แต่ถ้าหากมีคนมาสนใจ อันนี้ก็เป็นผลพลอยได้นะ " " ส่วนมากก็จะมีคนเข้ามาคุยด้วยก่อน เพราะพี่เป็นคนขี้เล่น ยิ้มง่าย จนสนิทกัน ลงเอยด้วยการมีเพศฯกันนั่นแหละ"
4.ลักษณะความสัมพันธ์ของสมาชิกภายในครอบครัว ของผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสวนดอก (นามสมมุติ)
ความสัมพันธ์ในครอบครัว ความใกล้ชิดสนิทกันตั้งแต่วัยเยาว์ บ่งถึงความสัมพันธ์ทางใจ ที่สมาชิกในครอบครัวมีต่อกัน ความผูกพันนี้จะเป็นพื้นฐาน ที่ช่วยทำให้ยอมรับความเป็นชยรักร่วมเพศ ในภายหลัง
จากการศึกษาพบว่าเหตุผลที่มี อิทธิพลต่อความผูกพันกับสมาชิกครอบครัว พอจะจำแนกได้เป็น 4 ประเภท คือ
1)ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและแม่
2)บุคลิกและพฤติกรรมของสมาชิก
3) การเป็นที่พึ่งให้คำปรึกษาหารือ และประการสุกท้าย
4) การยอมรับในความเป็นชายรักร่วมเพศ เหตุผลที่ทำให้มีความสนิท หรือไม่ชอบสมาชิกในครอบครัวแต่ละบุคคลในครอบครัว
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่คิด : "ทั้งพ่อและแม่แยกกันอยู่ อยู่กับแม่จึง สนิทกับแม่มาก จะเล่าเรื่องและปรึกษาแม่ได้เกือบทุกเรื่อง แต่ไม่ชอบพ่อ เพราะพ่อดุ พ่อชอบบังคับ จึงไม่อยากคุยกับพ่อและก็ไม่ค่อยได้เจอพ่อด้วย แม่ทราบว่าเป็นกระเทย เพราะบอกแม่เลือกที่จะบอกแม่พี่ หลังจากแม่พี่สวดมนต์เสร็จ ต้องระมัดระวัดเหมือนกันเพราะแม่พี่เป็นโรคหัวใจ และความดันโลหิตสูงด้วย ส่วนพ่อพี่ไม่รู้ พอเจอกันก็ไม่เห็นเขาพูดเรื่องนี้ "
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่แน็ก : "พ่อกับแม่พี่แยกกัน พี่อยู่กับแม่เลยสนิทกัน ส่วนพี่ไม่ค่อยสนิท เพราะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน พ่อพี่เป็นทหาร น่ากลัว แต่พ่อพี่ก็ไม่ได้ทำอะไรพี่นะ ตอนเด็กๆพี่นั่งเล่นอยู่หน้าบ้านพอเห็นพ่อเข้าบ้านมา รีบวิ่งหนีเข้าบ้านเลย ส่วนแม่พี่บอกแม่พี่ว่า พี่ไม่ใช่ผู้ชาย พี่มีแฟนเป็นผู้ชาย แม่พี่ก็ไม่ได้ตอบอะไรนะ สักพักแม่ก็กอดพี่เราทั้งคู่ ก็กอดกันร้องไห้ แม่ไม่ได้ร้องให้ฟูมฟายอย่างที่พี่คิด แต่พี่คิดว่า "ขอโทษครับแม่ผลทำให้แม่ผิดหวัง ในตัวผมมากใช่ไหม ผมขอโทษ" พอตอนเช้าทั้งพี่และแม่ตาบวมทั้งคู่เลย "
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่ปอ : พ่อและแม่เสียชีวิตตั้งแต่ตอน อายุ 13 ปี ในครอบครัวพี่น้องทั้ง 5 คนจะสนิทกับน้องสาวคนที่ 4 มากที่สุด คงเพราะเราอายุไล่ๆกันเลยสนิทกัน พูดกันได้ทุกเรื่อง และเขาก็เป็นเด็กดี เรียบร้อย ตั้งใจเรียน เขารู้ว่าพี่เป็น กระเทย ก็ยอมรับได้ ไม่รังเกียจหรือแสดงกิริยาที่เหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนไป
จากการศึกษาพบว่า ทั้ง 3 คน ให้ความช่วยเหลือครอบครัว 2 คน ส่งเงินให้อย่างสม่ำเสมอ หรือรับผิดชอบค่าใช้จ่ายภายในบ้านและช่วยงานครอบครัว ให้ความช่วยเหลือเป็นบางโอกาส อีก 1 คนไม่ได้ให้ความช่วยเหลือทางครอบครัวอย่าต่อเนื่อง แต่ก็ได้มีการติดต่อกันเป็นบางโอกาส จากประเด็นในเรื่องมหสุขนั้น เรื่องของการกระทำใดๆถ้าทำให้เกิดความสุขก็ถือเป็นเรื่องดี แต่การกระทำใดทำให้เกิดความทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่ดีและไม่ควรที่จะกระทำ แต่เมื่อความสุขในพฤติกรรมของกลุ่มชายรักร่วมเพศ นั้นส่งผลให้บุคคลในครอบครัว เกิดความทุกข์ หรือไม่ต้องการในพฤติกรรมนั้น การตัดสินพฤติกรรมใดที่ถูกหรือผิด สมควรทำหรือไม่
สมควรทำนั้นคือตัดสินที่ความสุขเมื่อต่างฝ่ายต่างมีความสุขที่ตรงกัน ข้ามกัน สิ่งที่จะใช้ในการตัดสินก็คือหลักมหสุข โดยความสุขส่วนตัวต้องสอดคล้องกับ ความสุขส่วนรวม เพื่อเป็นแนวทางที่สามารถที่จะอยู่ร่วมกันและดำรงความเป็นครอบครัวไว้ได้ การให้การยอมรับในพฤติกรรมชายรักร่วมเพศ ในครอบครัวนั้น ส่วนมากสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะมารดา หรือพี่สาวน้องสาวนั้นจะให้การยอมรับได้ ในความเป็นชายรักร่วมเพศ แต่การยอมรับในพฤติกรรมบางอย่างของชายรักร่วมเพศนั้นก็ ยอมรับได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งสมาชิกในครอบครัวก็จะมีข้อตกลง ในพฤติกรรมของชายรักร่วมเพศ ว่าสมควรที่จะปฏิบัติหรือไม่ เป็นการยอมรับและเข้าอกเข้าใจ ในความแตกต่าง ความต้องการจริงๆ เพื่อที่จะสามารถอยู่ร่วมกันได้
จากการให้สัมภาษณ์ของแม่พี่แน็ก : "การเป็นกระเทยไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นมันขึ้นอยู่กับว่าการทำดี การที่คนหนึ่งเป็นคนดีแต่ชอบแบบนี้เขาจะบาปมั๊ยหล่ะ การที่คนบางคนเกิดมาเป็นแบบนี้มันอยู่ที่จิตสำนึกลึกๆ ว่าเค้าต้องการอะไรความอ่อนไหวในจิตใจบ่งบอกให้เขาเป็นแบบนี้ การที่เขาเป็นแบบนี้มันเป็นความต้องการภายในจิตใจ"
"คนเราเกิดมาชาติเดียว ก็ย่อมหาความสุขใส่ตัว เมื่อมันไม่ใช่เขาก็ต้องเลือกในสิ่งที่ใช่ ที่ขึ้นอยู่กับ บรรทัดฐานแห่งความดี แม่กลับภูมิใจด้วยซ้ำที่ลูกเกิดมาเป็นแบบนี้ ไม่เกเร เป็นคนดี และดูแลแม่ไปจนตาย โดยไม่แบ่งปันไปให้หญิงใด ถ้าแม่รับเขาไม่ได้ก็คงฆ่าทิ้งไปแล้ว"
"แม่มีลูกที่เป็นกระเทย ลูกที่เข้ามาบอกแม่ได้เต็มปากว่า แม่ครับผมชอบผู้ชายด้วยกัน ผมเป็นกระเทย ทำไมเขากล้าพูดเพราะเขาไม่มีใคร นอกจากแม่ที่เป็นแม่ และแม่ก็คงฆ่าลูกไม่ได้แน่ ๆ หนูรู้มั๊ยวันที่ลูกเข้ามาบอกแม่ว่าเขาเป็นกระเทย แต่สิ่งที่เขาพูดตามท้ายมาก็คือ เขาจะเป็นคนดีและ ไม่ทำความเดือดร้อนให้แม่และใครๆ ในสังคม"
จากการให้สัมภาษณ์ของแม่พี่คิด : "นะแม่พูดได้คำเดียวถึงแม้ลูกแม่เขา จะเป็นอะไรก็ตามสิ่งที่ แม่จะยังมีให้เสมอ ก็คือความรัก ความห่วงใย และกำลังใจที่เต็มเปี่ยม"
"เราจะอยู่ด้วยกัน 2 แม่ลูกนี่แหละ ไปจนวันตาย แต่แม่ขอเอาไว้เรื่องหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้แม่บอกเขาว่าทำใจไม่ได้ ก็คือเรื่อง อย่ามีแฟนเป็นผู้ชายนะเพราะแม่ยังยอมรับไม่ได้ รู้ว่าลูกเป็นกระเทย ชอบผู้ชาย และไม่แต่งงานแม่ยังพอจะหักห้ามความเสียใจ และยอมรับไหว แต่ เรื่องมีแฟนเป็นผู้ชายเนี้ยะ แม่เครียด ขอร้อง "
"ไม่วาเราจะให้ความหมาย หรือนิยาม พวกเขาว่าอะไร กระเทย ตุ๊ด เกย์ เขาก็ยังเป็นคนดี เป็นคนเลว เป้นนักธุรกิจ นักร้อง เป็นคนโง่ เป็นคนฉลาด เป็นคนกล้า และเป็นคนธรรมดา ที่ใช้อากาศหายใจ อยู่ที่ว่าเราจะใช้ "ไม้บรรทัด" อะไรในการวัดและแบ่งเท่านั้นเอง "
จากการให้สัมภาษณ์น้าพี่ปอ : "น้าก็อวยพรให้พวกเขาทั้งสอง(พี่ปอและแฟนพี่แค้ทซึ่งเป็นหลานชายของน้า) ผ่านอุปสรรคในชีวิตคู่ไปได้ และมีความรักที่มั่นคง ยิ่งขึ้นทุกวัน มันทำให้รู้สึกว่าชีวิตเขาสองคนมีที่พักพิงและมีหลักยึด เป็นที่ปรึกษาให้พวกเขา อย่างที่น้าบอกเขาทั้งสองคนว่า รักแท้นั้นอดทนนาน"
"อย่างที่น้าบอกไว้ตอนที่พวกเขาย้ายมาอยู่ด้วยกันวันแรก แม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ให้พวกเขารู้ว่ามีอย่างหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนเลย คือความรักจากน้า ให้ถือว่าน้าเป็นครอบครัว เป็นญาติผู้ใหญ่ เป็นพ่อและแม่ของเขาคนหนึ่ง ซึ่งยังคงเป็นที่พักพิง เป็นหลักยึด เป็นแหล่งกำลังใจ และเป็นที่ซับน้ำตาให้ ก็จะให้ความรักความอบอุ่นแก่เราให้มากที่สุดเท่าที่น้าจะทำได้" จากการให้สัมภาษณ์น้องพี่ปอ : "ยอมรับได้ค่ะ ที่พี่ชายกลายเป็นพี่สาว ก็ยิ่งดี คุยกันได้ทุกเรื่องไม่ต้องเกรง แต่ที่ไม่ชอบและยอทมรับไม่ได้ ก็ตรงที่พี่มีแฟนเป็นผู้ชายค่ะ เวลาเห็นพี่กับแฟน อยู่ด้วยกัน หนูรู้สึกไม่ชอบเลย มันดูแปลกๆ น่าเกลียดยังไงไม่รู้เหมือนกันค่ะ ไม่อยากให้พี่มีแฟนด้วย แต่เป็นกระเทยหนูไม่ว่าหรอก ดีซะอีกหนูอยากมีพี่สาวค่ะ"
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่ปอ : "เคยอยู่กินกับผู้หญิงมาก่อน แต่ไม่ได้มีลูกด้วยกัน เพราะเขาเป็นเมียของเพื่อนสนิทตอนเด็กที่พี่แอบชอบ คนนี้นรู้จักกันทั่วไปในนาม พี่อม (นามสมมุติ). เขาได้ฝากดูแลเมียกับลูกเขาให้พี่ช่วยดูแล เพราะพี่เป็นคนที่เขาไว้ใจมากที่สุด พี่ก็ตกลงอยู่กินกับเขา มา 1 ปี เลิกกันเพราะผู้หญิงไปมีชู้ พี่เคยเตือนหลายครั้งเขาก็ไม่เลิก จนครั้งสุดท้ายเห็นกับตา รับไม่ได้เลย เลิกกัน"
ส่วนอีก 2 คน ไม่คิดที่จะมีครอบครัวกับผู้หญิง และไม่คิดจะมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงด้วย
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่แน็ก : "อย่างพี่นี้พี่ไม่เคยแคร์ ใคร ถึงแม้พี่จะเป็นตุ๊ด พี่ก็เป็นแต่ให้เป็นตุ๊ด แล้วไปมีอะไรกับใครเพื่อสร้างภาพว่าเราเป็นชายแท้ โดยไปมีแฟนหรือแต่งงานกับผู้หญิงพี่ไม่ทำนะและไม่เคยคิดด้วย ไม่อยากทำร้ายใครไม่ว่าหญิงหรือชายไม่อยากให้ใครมาทุกข์เพราะเรา "กระเทย หรือเกย์ บางคนก็มีความเข้าใจว่า แต่งงานไปแล้ว ถ้ามีเซ็กซ์กับผู้หญิงอาจจะทำให้หายเป็นได้ ซึ่งหลายคนมีเซ็กซ์ได้ แต่ในที่สุดก็พบว่า มันไม่ใช่สิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่อาหารที่ถูกปาก กินได้แต่ไม่เต็มปากเต็มคำ" เพราะพี่เข้าใจว่าชีวิตเรานะเรากำหนดเอง "
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่คิด : "ไม่คิด เพราะว่ากลัวทำให้ผู้หญิงเสียใจ ไม่อยากหลอกใคร กระเทยมันไม่ได้เป็นโรคจิตนะจะได กินยา บำบัดแล้วก็หาย เป็นแล้วเป็นเลย ไม่มีทางหาย และก็ไม่มีใครอยากเป็นหรอก แต่เมื่อมันเป็นไปแล้ว ก็แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว นอกจากจะเป็นคนดีของสังคม ดีกว่าอย่าไปหลอกใครเลย" ส่วนการใช้ชีวิตร่วมกับชายรักชายเหมือนกัน จากการศึกษาพบว่า มี 2 คนที่เคยใช้ชีวิตคู่และมีความสัมพันธ์กับชายมาก่อนที่ ได้เคยอยู่กินร่วมกัน ส่วน 1 คน ไม่เคยและไม่คิดที่จะใช้ชีวิตคู่ เลย มีความคิดที่จะใช้ชีวิตโดยการแยกกันอยู่มากกว่า ด้วยสาเหตุหลัก คือ ด้วยสภาพทางสังคม หน้าที่การงานที่รับผิดชอบในด้านต่างๆ รวมทั้งความเป็นอิสระในการใช้ชีวิตละพฤติกรรมส่วนตัวของชายรักร่วมเพศ และยังคมยอมรับสภาพการใช้ชีวิตคู่ที่ต้องอยู่ร่วมกันอย่างเปิดเผยไม่ได้ ซึ่งมองถึง ผลกระทบที่ต้องเกิดขึ้นตามมา เช่น เกิดความเบื่อและทะเลาะกันบ่อย จนไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากันได้ เครียด กังวนใจ หรือกลัวการนอกใจ หรือผลกระทบจากรอบข้าง หรือจากครอบครัวที่ไม่ยอมรับเรื่องการมีคู่เป็นชายซึ่งเป็นการที่ตระหนักถึง การแสวงหาความสุขที่ตนต้องการ โดยที่ไม่ส่งผลที่เดือดร้อน หรือสร้างความทุกข์ให้แก่ครอบครัวและสังคม โดยมองจากประเด็น ประโยชน์สุขกับสังคม ที่ถือว่า การทำให้เกิดความสุขมากที่สุดแก่คนจำนวนมากเป็นหน้าที่ที่ควรปฏิบัติ เพราะมนุษย์ต้องการสังคม จึงไม่ควรทำสิ่งที่เกิดความทุกข์ ความไม่ดีให้แก่สังคม
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่คิด : "พี่เคยใช้ชีวิตคู่กับแฟนพี่มาก่อน(ผู้ชาย)ที่จะบอกให้แม่พี่ทราบว่าพี่เป็น กระเทย เพราะแม่พี่ขอร้องไว้ ว่ายอมรับได้ว่าเป็นกระเทย แต่อย่ามีแฟน(ซึ่งพี่ออกจะทำไม่ได้) ที่เลิกกันเพราะ แฟนพี่ขี้หึงมากๆ พี่เคยโดนซ้อมจนเกือบตายนะ เราทะเลาะกันในรถระหว่างไปเชียงราย แล้วเขาก็ถามพี่มาคำหนึ่งว่า "ตกลงจะเลิกกันใช่ไหม" พี่ไม่ได้ตอบเขา เขาโมโหชกหน้าพี่ แล้วก็หักรถชนกับต้นไม้ พี่ แขนหัก กระจกตาหลุด ส่วนแฟนพี่ไม่เป็นอะไรมาก แค่แผลถลอก เพราะเขาขาดเข้มขัดด้วย เขาบอกกับพี่ที่ข้างเตียงที่โรงพยาบาลว่า "น่าจะตายไปเสียเน่อะ" พี่กลัวมาก พอแม่พี่รู้ข่าวก็มาเยี่ยมพี่ที่โรงพยาบาลแล้วพี่ก็แอบย้ายโรงพยาบาลหนีเขา ตั้งแต่นั้นมาพี่ก็ไม่ติดต่อ และคอยหลบเขามาตลอด" " เราต้องรักและภูมใจ ในตัวเราเองก่อน ที่จะรักคนอื่นได้อย่างจริงใจ คุณค่าของตัวเราเอง เราเท่านั้นเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่คนอื่น"
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่ปอ : "วันหนึ่งเดือน กรกฎาคมปี 41 พี่ได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง ชื่อ ม. นั่งรอรถกลับบ้านสายเดียวกัน อยากรู้จักกับเขามากเพราะคิดว่าเขาคือคนที่พี่ตามหาแน่ๆ ได้เข้าไปทักทายทำความรู้จัก ตั้งแต่นั้นมาเราก็ติดต่อกัน ในที่สุดก็ตกลงย้ายมาอยู่ร่วมกัน ที่เชียงใหม่ที่บ้านของเขา ซึ่งมีความสุขมาก จนกระทั่งเขาจากไปโดยไม่มีวันกลับมาอีก ในช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงน้อยนิด แต่เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากในชีวิตของหนู เป็นสิ่งที่หนูภาคภูมิใจที่ที่ชีวิตของหนูได้ใช้ชีวิต ชายกับชาย มันแตกต่างกับหญิงมาก เมื่อเราเข้าใจกันก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขมาก "
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่แน็ก : "พี่ก็เคยคิดนะ แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่อยาก กลัวว่าถ้าอยู่ด้วยกันมากเกินไปจะทะเลาะกันแล้วก็เลิกกัน และก็คงไม่ถึงขั้นอยู่กินร่วมกัน เพราะแม่ก็ยังอยู่ ตอนนี้ถึงจะเปิดเผยตัวว่าเป็นกระเทยแล้ว แต่วาไม่ได้บอกให้ใครรู้ว่ามีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกันแล้ว เพราะกลัวแม่รับไม่ได้ ตอนนี้ก็คบกับแฟนแบบหลบๆซ่อนๆไปก่อน คุยกันทางโทรศัพท์ มีการนัดพบกันไปเที่ยวกันบ้าง กินข้าวบ้าง ไปหาความสุขด้วยกันบ้าง ก็รู้นะว่าที่เราทำมันเป้นความสุข ของเรา สิทธิของเรา แต่ก็ว่าอะนะ เราก็ต้องดู ความรู้สึกของครอบครัว และคนรอบๆข้างด้วย ไม่ใช่ว่าเราสุขอยู่แค่คนเดียว แต่คนอื่น รอบๆข้างเราเขามีความทุกข์ เราก็ไม่ทำ"
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่ปอ : "ความสุขของพี่คือ การที่ชีวิตของพี่ได้รับการเติมเต็มจากสิ่งที่พี่ขาดหายไป มันก็คือความรักนั่นเอง พี่อาจจะขาด ความรักจากพ่อและแม่ที่จากไปแล้ว ความสุขน้อยนิดที่พี่ต้องการคือ ความสุขที่ชีวิตของพี่เองจะหยุดอยู่ที่คนๆหนึ่ง พี่ได้มี ชีวิตในช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นมาช่วงหนึ่งแล้ว แต่ตอนนี้มันจากพี่ไป อย่างที่ไม่มีวัน กลับคืนแล้ว ซึ่งความสุขของพี่จบลงแล้ว ตอนนี้ชีวิตที่เหลืออยู่ของพี่ก็คงจะขอทำอะไรดีๆ เพื่อมอบความสุขที่พี่สามารถ ทำให้คนอื่นได้ ดีกว่า พี่น่าจะสร้างความสุขที่ดีๆให้แก่คนอื่นๆได้ "
" ช่วงเวลาในการดำเนินชีวิต อาจจะเป็นอะไรไม่ง่ายนัก ทุกๆคนต้องสะดุดหกล้มกันทั้งนั้น อยู่ที่ใครจะเจออะไร กระเทยอย่าพี่ก็สะดุดเหมือนกัน บางคนล้ม แล้วลุกไม่ขึ้น ล้มเหลวอยู่อย่างนั้น บางคนก็ลุกขึ้นเดินต่อไปอย่างมุ่งมั่นและกล้าหาย พี่เองก็ยังคงเดินต่อไป แม้บาดแผลจากการหกล้ม ลุกคลุกคลาน จะทำให้เจ็บแสบซักเพียงใด แต่พี่ก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาพี่ได้เจอ เหตุการณ์หลายๆอย่าง ที่พี่ได้พบผ่านมา และอีกเหตุการณ์ตามกาลเวลา ความคิดของพี่ก็เริ่มโตขึ้น ดีขึ้น ถึงยังไม่สมบูรณ์แบบเต็มที่ แต่มันก็นับว่าดี กว่าก่อนมา ณ เวลานี้ที่นี่ พี่ได้รับความเชื่อมั่น ความภาคภูมิใจ ความสดชื่นร่าเริงกลับคืนมา และสัมผัสได้ถึงคุณค่าของตัวเองที่พี่เคยลืมไปแล้ว อีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้พี่จะไม่ปล่อยให้มันหายไปอีก "
"บางที่จุดมุงหมาย หรือเป้าหมายสูงสุดของพี่อาจจะไม่ใช่ ความสุขก็ได้ แค่รักที่ไม่ต้องครอบครอง บางอย่าแค่ เซ็กซ์ อย่างเดียวก็พอ และการได้มี เซ็กซ์ กับคนที่เรารัก มันก็เป็นจุดมุ่งหมายหนึ่งในชีวิต พี่เลย"
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่แน็ก : "อย่างที่ว่าใครๆก็อยากมีความสุขกันทั้งนั้น แต่พี่บอกแล้วว่าชีวิตพี่ ทั้งความสุขและความทุกข์มันเข้ามาพร้อมๆกัน เลือกไม่ได้ พี่มีความสุขเมื่ออยู่กับแฟนพี่ พี่มีความสุขเมื่อพี่ได้แสดงออกซึ่งตัวตนของพี่ แต่สิ่งที่พี่มีความสุขเหล่านี้ มันคือ ทุกข์ของคนอื่น ก็คือ แม่พี่ พี่ก็ต้องเลือกนะว่าพี่จะทำตามความสุขของพี่ หือทำตามความสุข ความสบายใจของแม่พี่ แต่ตอนนี้เรื่องความสุขของพี่มันได้เปลี่ยนแล้ว ความสุขของพี่ตอนนี้คือ การที่พี่กับแม่พี่ได้ถมช่องว่างที่เราไม่รู้จักหายไปหมดแล้ว ตอนนี้อะไรที่เป็นความสุขของแม่มันก็คือความสุขของพี่"
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่คิด : "ความสุข ใครก็อยากมี ทุกๆวันนี้พี่มีความสุขดี ดีอย่างที่ไม่เคยมี มีแม่ที่พี่สามารถพูดคุยได้ทุกอย่าง รักและเป็นห่วงพี่ ทุกอย่างนี้พี่ว่า ความสุขพี่มันเต็มแล้ว แต่ถ้าจะให้พี่สุดที่สุดซึ่งอาจจะเป็นไปไม่ได้แต่ก็อย่างว่านะ ขอหวังซักหน่อย การที่คนอื่นๆอย่าเข้าใจพี่ และมองพวกอย่าพี่(ชายรักร่วมเพศ)ผิดๆ หรือด้วยสายตาที่มันแสดงออกถึงความรังเกลียดขนาดนั้น พี่แค่อยากจะของสักครั้งได้ไหมที่พี่จะเดินร่วมกับคนในสังคมๆอย่างที่พี่ก็ เป็นคนในสังคมนั้น จริงๆ ไม่ต้องตายอย่างโดดเดี่ยวก็พอ"
"การที่เราคนเราต้องการความสุขนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ เราต้องการความสุข ปฏิเสธความทุกข์ มันเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าเราต้องคำนึงด้วยว่าความสุขของเรามัน ไปก่อให้เกิดความทุกข์กับใครบ้าง คนที่เราแคร์หรือเปล่า จะมีความสุขได้ไม่เพียงสุขแค่เรา เราต้องคิดถึงคนอื่นด้วย ถ้าพี่จะพูดว่าความสุขของพี่คือการเสียสละ ให้แก่คนรอบๆข้าง หล่ะ ตลกไหม ? "
วัตถุประสงค์ของการศึกษา
1.เพื่อศึกษาทฤษฎี ประโยชน์สุขนิยมของจอห์น สจ๊วต มิลล์ 2.เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ในครอบครัวของผู้มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ
วิธีดำเนินการวิจัย
1.ประชากร ประชากรที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ คือ ชายรักร่วมเพศที่มีพฤติกรรมเปิดเผย ที่เรียกว่ากระเทย จำนวน 3 คน ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมเป็นชายรักร่วมเพศที่มารักษาในโรงพยาบาลสวน ปรุง 2.กลุ่มตัวอย่าง ผู้ศึกษาเลือกกลุ่มตัวอย่าง โดยวิธีสุ่มแบบเจาะจง ซึ่งมีขั้นตอน โดยผู้ศึกษาได้เข้าสู่กลุ่มเป้าหมาย โดยผ่านทางแพทย์ที่ทำการบำบัดผู้ป่วย เพื่อขอความร่วมมือในการให้ข้อมูล ทั้ง 3 คน 3.เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ที่เกี่ยวกับ สถานภาพ ความสัมพันธ์ในครอบครัว รวมถึงทัศนคติ ความสุข เกี่ยวกับการเป็นรักร่วมเพศของตนและสังคม
สรุปผลการวิจัย 1.ผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อศึกษาสถานภาพ ส่วนบุคคลของชายรักร่วมเพศ สรุปได้ดังนี้
1.1 อายุ ของชายรักร่วมเพศที่มีพฤติกรรมเปิดเผย มีอายุ เฉลี่ย 27.5 ปี 1.2 ระดับการศึกษา ชายรักร่วมที่มีพฤติกรรมเปิดเผย ระดับการศึกษา ที่พบคือ อยู่ในระดับอุดมศึกษา 2 คน และอีก1 คน การศึกษาในระดับประถมศึกษาปีที่ 4 1.3 อาชีพ ชายรักร่วมเพศที่มีพฤติกรรมเปิดเผย ประกอบอาชีพ ทำงานบริษัทเอกชน 2 คน ส่วนอีก 1 คนทำงานบริการ ในบาร์แห่งหนึ่ง ในย่านท่าแพ (นามสมมุติ) 1.4 รายได้ ชายรักร่วมเพศที่มีพฤติกรรมเปิดเผย ซึ่งรายได้จะเป็นผลสืบเนื่องมาจากอาชีพ ชายรักร่วมเพศที่มีพฤติกรรมเปิดเผย จำนวน 2 คนที่ประกอบอาชีพ ทำงานบริษัทเอกชน มีรายได้ต่อเดือนประมาณ 10,000-12,000 บาท ส่วนอีก 1 คนประกอบอาชีพบริการ รายได้ค่อนข้างต่ำ ประมาณ 2,500 ต่อเดือน จึงทำให้มีการขายบริการทางเพศเป็นรายได้เสริม 1.5 ข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัว ชายรักร่วมเพศที่มีพฤติกรรมเปิดเผยที่ไดศึกษาทั้งหมด 3 คน มาจากครอบครัวที่บิดามารดาหย่าร้างกัน และบิดามารดาเสียชีวิต 1.6 สถานภาพสมรส ชายรักร่วมเพศที่มีพฤติกรรมเปิดเผยที่ศึกษาทั้งหมดทั้ง 3 คน อยู่เป็นโสด 1.7 ที่อยู่อาศัย ชายรักร่วมเพศที่มีพฤติกรรมเปิดเผยจำนวน 2 คน อาศัยอยู่กับมารดา ส่วนอีก 1 คนอาศัยอยู่ โดยการเช่าหอพักอาศัยอยู่ตามลำพัง
2..ผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อศึกษาพัฒนาการเพศสำนึกและเพศสัมพันธ์ สรุปได้ดังนี้ สำนึกทางเพศ ชัดเจนว่าจะมีแฟน หรือคู่ครองเป็นชายเท่านั้น โดยเฉพาะผู้ที่มีลักษณะแบบชายแท้ ท่าทางเข็มแข็ง นิยมมีเพศสัมพันธ์ เฉพาะบทบาทรับเท่านั้น ทั้งสำนึกทางเพศและพฤติกรรมทางเพศเป็นลักษณะของผู้หญิง ความสัมพันธ์นี้เป็นสถานการณ์ที่สร้าง ความสัมพันธ์แบบคู่ขา เพื่อนหรือเพื่อนสนิท และแบบคู่ครอง จะมีความแตกต่างคือ ความผูกพันทางใจจะน้อย การมีเพศสัมพันธ์ เป็นพฤติกรรมที่นำไปสู่ การเริ่มรู้จักกันหรืออาจ กล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า เพศสัมพันธ์เป็นวิธีการเรียนรู้กันและกันว่า จะคบกันต่อไปหรือไม่ ลักษณะเช่นนี้น่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก หรือไม่มีเลยในสังคมต่างเพศ จึงน่าจะเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่ง ของสังคมชายรักร่วมเพศ
3.ผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อศึกษาบริบทสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเริ่มความสัมพันธ์ทางสังคม และทางเพศ สรุปได้ดังนี้ จากการศึกษาพบว่า มีบริบททางสังคมหลายๆอย่างที่เอื้อต่อ สังคมชายรักร่วมเพศมาก อุตสาหกรรมบันเทิงก็เกิดเพื่อ ตอบสนองความต้องการ การแสวงหาความพอใจทางเพศ ซึ่ง จะเป็นธุรกิจหาผลกำไร จึงมีการแข่งขันกัน และมีผลประโยชน์เป็นตัวผลักดัน ทำให้เกิดสถานที่และบริการที่ตอบสนอง ความต้องการสารพัดรูปแบบ รวมทั้งความต้องการทางเพศด้วย
ระบบสื่อโทรคมนาคม แหล่งบันเทิง และกลุ่มเพื่อน ทำให้เกิดการถ่ายทอด ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ความเชื่อ ทำให้เกิดการรับรู้มากขึ้น แสดงให้เห็นว่าเกิดแรงชกจูงและแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเพศสำนึก จะเพิ่มขึ้นรวดเร็ว อาจทำให้สังคมชายรักร่วมเพศ ขยายตัวเร็วขึ้น หากสังคมยังไม่ยอมรับ ก็จะเกิดแรงกดดันให้กับกลุ่ม ชายรักร่วมเพศ เพราะไม่สามารถที่จะดำเนินชีวิตตามปกติตามเพศสำนึกของตนได้ จะผลักดันให้กลุ่มชายรักร่วมเพศ แสวงหากลุ่มเพื่อน และสังคมที่มีเพศสำนึกเหมือนกัน เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ ใช้สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เกิดการขยายตัวทาง อุตสากรรมบันเทิงที่ไม่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้เกิดความสัมพันธ์และพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในกลุ่มชายรักร่วมเพศ ได้
4. จากการศึกษา ลักษณะความสัมพันธ์ของสมาชิกภายในครอบครัว สรุปได้ดังนี้ จากการศึกษาพบว่า ความสัมพันธ์ของบุตร กับบิดามารดามีผลต่อการสำนึกทางเพศ รวมทั้งความเข้าใจในบทบาททางเพศที่ผิด มีส่วนอย่างมากในการเกิดการเรียนรู้พฤติกรรมทางเพศที่เบี่ยงเบน ความใกล้ชิดสนิทกันตั้งแต่วัยเยาว์ บ่งถึงความสัมพันธ์ทางใจ ที่สมาชิกในครอบครัวมีต่อกัน ความผูกพันนี้จะเป็นพื้นฐาน ที่ช่วยทำให้ยอมรับความเป็นชยรักร่วมเพศ ในภายหลัง ซึ่งจาการศึกษาของชายรักร่วมเพศ ทั้ง 3 คนสมาชิกในครอบครัวในครอบครัว ได้มีการยอมรับในพฤติกรรมรักร่วมเพศได้ในระดับหนึ่ง เพื่อเป็นการคงอยู่ไว้ซึ่งความเป็นครอบครัว ที่ต้องยอมรับในความเป็น ความต้องการ และตัวตน ของสมาชิกในครอบครัว แต่การยอมรับในพฤติกรรมรักร่วมเพศนั้น ก็ไม่ได้มีการยอมรับหรือปฏิบัติได้ทุกอย่าง เป็นเพียงบางอย่างเท่านั้น ซึ่งการยอมรับ ก็จะเป็นมารดา เพราะด้วยความผูกพันกัน ระหว่างแม่กับลูกและความเป็นผู้หญิงที่มีความเหมือนหรือว่าเข้าใจกัน ซึ่งการจะยอมรับพฤติกรรมของชายรักร่วมเพศที่แสดงออกมา ในแต่ละสถานการณ์ ก็จะมีการยอมรับได้เป็นบางส่วนที่เห็นว่าดีหรือสมควรปฏิบัติได้ หรือ พฤติกรรมไหนที่ไม่ดี ไม่สมควรที่จะปฏิบัติ โดยจากการตัดสิน ความคิดเห็นของสมาชิกในครอบครัวร่วมกัน โดยต้องถือเป็นข้อตกลงที่ต้องมีการปฏิบัติตาม เพราะเป็นการถือว่า ได้ต่างฝ่ายต่างยอมรับกันได้ในพฤติกรรมชายรักร่วมเพศแล้ว ก็ต้องยอมรับในข้อตกลงเกี่ยวกับพฤติกรรมบางอย่างที่สมาชิกในครอบครัวเห็นว่า สมควร หรือไม่สมควรในการปฏิบัติด้วย การตัดสินพฤติกรรมใดที่ถูกหรือผิด สมควรทำหรือไม่สมควรทำนั้นคือตัดสินที่ความสุขเมื่อต่างฝ่ายต่างมีความสุข ที่ตรงกันข้ามกัน สิ่งที่จะใช้ในการตัดสินก็คือ หลักมหสุข โดยความสุขส่วนตัวต้องสอดคล้องกับ ความสุขส่วนรวม เพื่อเป็นแนวทางที่สามารถที่จะ อยู่ร่วมกันและดำรงความเป็นครอบครัวไว้ได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่ากลุ่มรักร่วมเพศ จะถูกตัดสินไปแล้ว โดยที่พวกเขาไม่มีทางเลือก สิ่งที่ชายรักร่วมเพศ จากที่ได้ศึกษา จะเห็นได้ว่า ครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขา ความสุขของสมาชิกในครอบครัว ก็คือความสุข หรือการเสียสละความสุขของตนเองเพื่อความสุขของคนในครอบครัว ซึ่งมันขัดกับการนับในส่วนความสุขของตนให้เท่ากับความสุขคนอื่น แต่ในความเป็นจริงหลักมหสุข ที่ใช้ในการตัดสิน ความดี-ชั่ว ,ควรทำ-ไม่ควรทำนี้ มันไม่พอที่จะใช้ตัดสินการกระทำ พฤติกรรมของชายรักร่วมเพศ
5.แนวคิดของชายรักร่วมเพศ ต่อความความสุข และแนวคิดในการดำรงชีวิต ต่อตนเอง สังคม และครอบครัว สรุปได้ดังนี้ จาการศึกษาพบว่า กลุ่มชายรักร่วมเพศที่ศึกษานั้น คิดว่าตนเองเป็นสิ่งที่ไม่ปกติในสังคม เป็นสิ่งที่แปลกแยกจากสังคม ความสุขที่เป็นเป้าหมายของพวกชายรักร่วมเพศนี้คือ การที่มีคนยอมรับในสิ่งที่พวกเขาเป็น และครอบครัวก็คือ สิ่งที่ชายรักร่วมเพศ ให้ความสำคัญมากที่สุด ชายรักร่วมเพศก็มีความต้องการ เป้าหมาย เหมือนกับ ชาย หญิง ทั่วๆไป เกี่ยวกับการดำเนินชีวิต การมีความรักและการใช้ชีวิตคู่ แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ ความต้องการของกลุ่มชายรักร่วมเพศ คือความต้องการที่ สังคม เห็นว่ามันผิดและเบี่ยงเบน และกลุ่มชายรักร่วมเพศก็รู้และสามารถตระหนักถึง ความผิดที่พวกเขาเป็น แนวคิดต่อความสุขและแนวทางการดำรงชีวิต ของตนเอง ก็ย่อมที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามความถูกต้อง หรือความดีที่สังคมกำหนดไว้ จากกลุ่มชายรักร่วมเพศที่ศึกษา ทั้งหมดเห็นว่า ความสุขของพวกเขาคือ การเสียสละความสุข ของพวกเขาเอง เพื่อความสุขของคนกลุ่มใหญ่ในสังคม หรือแม้แต่คนในครอบครัวของตนเองก็ตาม ซึ่งถ้ามองตามประเด็น ของทฤษฏีประโยชน์นิยม สิ่งที่กลุ่มชายรักร่วมเพศเหล่านี้ ได้เสียสละตนเองไปนั้น มันไม่ได้เป็นเรื่องสูญเปล่า แต่เป็นความสุขของคนหมู่มาก แต่ความสุขที่เขาสมควรได้รับมันต้องเสียสละเพื่อผู้อื่น ก็ถือว่าเหรียญบาทในมือของกลุ่มชายรักร่วมเพศที่พวกเขามองเห็น มันกลับกลายเป็นเหรียญราคาห้าสิบสตางค์ เมื่ออยู่ในมือของพวกเขา การตัดสินพฤติกรรมของชายรักร่วมเพศนี้ ว่าถูก-ผิด,ดี-ชั่ว,สมควร-ไม่สมควร ตามหลักประโยชน์นิยม ซึ่งมิลล์ ใช้หลักมหสุขเป็นเกณฑ์ตัดสินการกระทำทั้งหมดของมนุษย์ ถือว่าความสุขเท่านั้นที่เป็นสิ่งที่น่าปรารถนาสูงสุดของมนุษย์เพียงสิ่ง เดียวนั้น เป็นไปไม่ได้ และเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะต้องการความสุขส่วนรวม เพราะการกระทำของแต่ละคนนั้น ก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อความสุขของตัวเอง เป็นสิ่งที่ดูจะเป็นอุดมการณ์จนเกินไป ในแง่ปฏิบัติ ในแง่ความเป็นจริงแล้ว ทุกคนไม่ได้เห็นแก่ส่วนรวมทุกคน ทุกอย่าง เพราะมนุษย์ ทุกคนก็ล้วนแต่มีความเห็นแก่ตัว และความสุขก็ไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่ทุกคนปรารถนาหรือเป็นจุดมุ่งหมายอัน เดียวในการดำรงชีวิต ความต้องการ และเป้าหมายของชีวิตบางอย่างนั้นก็ไม่ได้หวังผลแต่ความสุข แต่เป็นการกระทำเพราะอยากทำ และต้องการทำเท่านั้นเอง ไม่เพียงพอ ที่จะตัดสินว่าสิ่งไหน ถูก-ผิด,ดี-ชั่ว,สมควร-ไม่สมควร แค่เพียงความสุขเท่านั้น ควรที่จะคำนึงถึง เหตุผลของการกระทำนั้น รวมถึงวิธีการกระทำด้วย ว่าเกิดจากอะไร ว่าการที่คนๆหนึ่งกระทำอะไร สิ่งไหนก็ตาม สภาพจิตใจของผู้ที่กระทำจะเป็นอย่างไร เขามีความรู้สึกอย่างไรในใจ เขามีความรู้สึกของความรัก ความเมตตาหรือไม่ เขามีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง บางอย่างที่มนุษย์พึงมีต่อกันหรือไม่ และการกระทำก็ต้องคำนึงถึงเจตนาในการกระทำด้วย
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะทั่วไป
1.ควรเสริม ให้ชายรักร่วมเพศได้เห็นถึงความสำคัญในเรื่องของการศึกษา ซึ่งเป็นการเพิ่มคุณค่าชีวิตให้ดีขึ้น โดยการให้โอกาสและยอมรับชายรักร่วมเพศที่มีความคิดสร้างสรรค์ เกี่ยวกับการพัฒนา คิดค้น สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่อาจมีผลเอื้อต่อความเจริญของสังคมตั่งแต่จุดเล็กๆไปสู่สังคมโดยกว้าง ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ชายรักร่วมเพศได้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษาได้ นอกจากนั้นหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องควรให้ความสนใจ เน้นถึงวิธีการที่จะสั่งสอนปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนมีจิตสำนึก ถึงศีลธรรมจรรยาอันดีงามในสังคม 2.ควรส่งเสริม การให้ความรู้ด้านสุขภาพ พลานามัยให้แก่ชายรักร่วมเพศ พร้อมทั้งเผยแพร่วิธีการและปฏิบัติต่อชายรักร่วมเพศ หน่วยงานสาธารณะสุขควรเข้าไปสอดส่องดูแลอย่างใกล้ชิด และชี้แจงถึงอันตรายของการ สำส่อนทางเพศ ซึ่งเป็นภาหะอย่างหนึ่งของโรคเอดส์ 3.ควรส่งเสริม ปัจจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ภายในครอบครัว และสังคม เพื่อให้ชายรักร่วมเพศและเด็ก เติบโตมีบุคลิกภาพที่ดีเหมาะสม และสามารถอยู่ร่วมในสังคมได้โดยปกติสุข
ข้อเสนอแนะสำหรับการทำวิจัยครั้งต่อไป
1.การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเพียงกลุ่มของชายรักร่วมเพศที่เรียกว่า กะเทย เพียงกลุ่มเล็กๆ เพียงกลุ่มเดียวซึ่งไม่อาจ ใช้เป็นข้อมูลครอบคลุมถึงชายรักร่วมเพศทั้งหมดของสังคม ดังนั้นผลของการศึกษาที่ได้จึงอาจจะเป็นเพียงแง่มุมหนึ่งของชีวิตชายรักร่วม เพศ ที่สามารถค้นพบจากประชากรตัวอย่างซึ่งมีลักษณะร่วมกันเท่านั้นเอง ซึ่งหากจะศึกษาในกลุ่มของชายรักร่วมเพศที่มีธรรมชาติและคุณลักษณะ แตกต่างกันออกไป จากการศึกษาครั้งนี้ อาจทำให้พบข้อสรุปที่น่าสนใจในประเด็นอื่นๆอีกด้วย 2.การศึกษาครั้งนี้เป็นเพียงการศึกษา ทฤษฎีประโยชน์สุขนิยมของจอห์น สจ๊วต มิลล์ เท่านั้น 3.ปรัชญาประโยชน์สุขนิยมของจอห์น สจ๊วต มิลล์ มีความสอดคล้องกับคำสอนในพุทธศาสนา ในบางแง่มุมควรจะมีการศึกษาเปรียบเทียบ ระหว่างแนวคิดทั้งสอง เพื่อประโยชน์ที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป 4. กลุ่มประชากรที่ศึกษา นอกจากกลุ่มประชากรที่ศึกษาแล้ว กลุ่มตัวอย่างอื่นๆที่น่าสนใจศึกษาได้แก่ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่ต้องพักในหอพักประจำโรงเรียน มหาวิทยาลัย กลุ่มพลทหารที่อยู่ในค่ายต่างๆ หรือชายรักร่วมเพศที่อยู่ในเขตอื่นๆเป็นต้น ความคิดเห็นต่อชายรักร่วมเพศเฉพาะด้าน การยอมรับในการประกอบอาชีพ การยอมรับในสังคม ความยุติธรรมที่ได้รับ หรือปัจจัยด้านสังคมอื่นๆ 5. นอกเหนือจากภาวะเงื่อนไขต่างๆของชายรักร่วมเพศมาได้เสนอ หากได้มีการศึกษาให้ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น อาจจะทราบถึงเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆ ที่สามารถนำมาอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเพิ่มเติม ตลอดจนการศึกษาถึงกระบวนการการกลายเป็นชายรักร่วมเพศว่ามีขั้นตอนอย่างไร หรือมีอิทธิพลและจุดหักเหอย่างไรบ้างต่อชายรักร่วมเพศ ทั้งนี้เพื่อความสมบูรณ์ที่สุดของการศึกษา
http://th.uncyclopedia.info/
กะเทย
หมายความถึงกลุ่มชายซึ่งมีเพศสำนึก ใกล้เคียงกับเพศหญิงมากทีสุด อาจจะมีบุคลิกแบบผู้หญิง ลักษณะกิริยาท่าทาง รวมทั้งการแต่งกาย รักสวยรักงาม แสดงออกค่อนข้างที่จะอกไปทางเพศหญิงมากอย่างชัดเจน บุคคลประเภทนี้จะมรความสุขกับการมีเพศสัมพันธ์ด้วยการสอดใส่ทางทวารหนัก โดยเป็นผู้ถูกกระทำ คือเป็นฝ่ายรับ หรือใช้ปากกับอวัยวะเพศให้ ผู้ที่เป็นคู่ เพศสัมพันธ์หรือการร่วมเพศ หมายความ การมีเพศสัมพันธ์ทางเพศ ระหว่างบุคคลทางกายด้วยอวัยวะ ส่วนใดส่วนหนึ่งหรือ หลายๆส่วน ได้แก่ ร่างกาย มือ ปาก หรืออวัยวะเพศ จนผู้ที่ร่วมมีความสัมพันธ์ทางเพศ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทุกฝ่ายมีความพอใจถึงที่สุด การแสดงออกทางพฤติกรรมร่วมเพศ ส่วนใหญ่จะบอกถึง เพศนิยมของบุคคลนั้น เพศนิยม หมายความ ความชอบเกี่ยวกัลป์ลักษณะพฤติกรรมเพศสัมพันธ์ รุก หมายความ การมีเพศสัมพันธ์ลักษณะ โดยใช้อวัยวะเพศชายสอดใส่ ทวารหนักของคู่ที่ร่วมมีความสัมพันธ์ รับ หมายความ การมีเพศสัมพันธ์ลักษณะ โดยเป็นผู้ใช้ทวารหนัก รับการสอดใส่อวัยวะเพศชายของคู่ที่ร่วมมีความสัมพันธ์บุคลิกและกิริยาท่าทาง
แสดงออกสาว ลักษณะบ่งบอกตัวบุคคลที่แสดงกิริยาท่าทาง เช่น การแต่งกาย ท่าทาง เดินพูดจา ฯลฯ ท ไม่แสดงออก ลักษณะตรงกันข้ามกับ แสดงอกสาว สาวแตก ลักษณะอาการของชายรักร่วมเพศที่ไม่แสดงออก แต่ลืมตัวแสดงออกสาว (ในกลุ่มเรียกว่าอาการหลุด) เมื่ออยู่ในสถานการณ์บางอย่าง เช่น เมื่อเจอเพื่อนสาวกลุ่มเดียวกันจะแสดงออกด้วยการทักทายกัน หรือการแสดงอาการตกใจ ทางคำพูด หรือกิริยาชายรักร่วมเพศ
ความหมายของชายรักร่วมเพศ
ความหมายของคำว่ารักร่วมเพศ ในสังคมไทยคนทั่วไปมักจะเรียกคนที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศว่า ผิดปกติ เช่น ชายที่มีลักษณะภายนอกกระตุ้งกระติ้งเหมือนผู้หญิง หรือแต่งกายเหมือนผู้หญิง จะถูกเรียกว่ากระเทย บางคนก็เรียกว่า ตุ๊ด แต๋ว น้องเตย นางกอ เป็นต้น จากการศึกษาค้นพบว่าได้มีผู้สนใจศึกษาความหมายของคำว่ารักร่วมเพศมากขึ้น และให้ความหมายของการมีพฤติกรรมรักร่วมเพศแตกต่างกันไป เป็นต้นว่า-ชวนีย์ จันทร์น้อย กล่าวถึงพฤติกรรมรักร่วมเพศว่าเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกในลักษณะที่เป็นแบบแผน ระยะยาวของการมีความพึงพอใจทางเพศ ที่ไม่สามารถกระตุ้นเร้าทางเพศได้ด้วยเพศตรงข้าม แต่อารมณ์ความรู้สึกและความสนใจทางเพศสามารถกระตุ้นได้โดยบุคคลเพศเดียวกัน
-นุจรี เตชะปัญญาชัย ให้นิยามว่า รักร่วมเพศ หมายถึง การมีความพึงพอใจกับคนที่มีเพศเดียวกันอย่างเดียวหรือส่วนใหญ่ โดยอาจมีความสัมพันธ์ทางเพศต่อกันหรือไม่ก็ได้ หรือบุคคลที่มีแรงจูงใจในการมีความพึงพอใจทางเพศกับคนเพศเดียวกัน จะนำไปสู่การมีความสัมพันธ์ทางเพศ แต่ก็อาจจำกัดเพียงแค่จินตนาการทางเพศกับเพศเดียวกันก็ได้
-จำลอง ดิษยวณิช ให้คำจำกัดคำว่า รักร่วมเพศ ( Homosexuality ) คือความต้องการที่จะมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคนเพศเดียวกัน ซึ่งอาจเป็นเพียงการสัมผัสร่างกายภายนอกไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ หรือประกอบกิจจนถึงจุดสุดยอด ก็ถือว่าเป็นรักร่วมเพศ
จากความหมายต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น สรุปได้ว่า รักร่วมเพศหมายถึง ชายที่มีความรู้สึกทางเพศ หรือความสุขความพอใจทางเพศต่อเพศเดียวกัน บุคคลประเภทนี้แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ 1)กลุ่มผู้ที่มีพฤติกรรมเปิดเผย โดยทั่วไปเรียกว่ากระเทย หมายถึง ชายรักร่วมเพศที่ชอบแต่งกายเป็นเพศหญิง กิริยาท่าทางเป็นเพศหญิง 2)กลุ่มพฤติกรรมไม่เปิดเผย โดยทั่วไปรียกว่าเกย์ หมายถึง ชายรักร่วมเพศที่มีลักษณะภายนอกเหมือนชายปกติทั่วไป
สำหรับการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเฉพาะชายรักร่วมเพศ กลุ่มที่ 1 คือ กระเทย ชายรักร่วมเพศที่มีพฤติกรรมเปิดเผย ซึ่งสำหรับความหมายของคำว่ากระเทยหรือรักร่วมเพศที่มีพฤติกรรมเปิดเผย แบ่งเป็น 4 ประเภทคือ
Homosexualism : Homosexual มาจากภาษากรีก มีรากศัพท์ว่า Homos แปลว่าเหมือนกัน อย่างเดียวกัน เพราะรักร่วมเพศเกิดขึ้นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง หมายถึง บุคคลที่มีความต้องการทางเพศกับบุคคลที่เป็นเพศเดียวกับตน ถึงแม้เคยมีกิจกรรมทางเพศกับบุคคลต่างเพศอยู่ก็ตามที แต่ก็มีความต้องการบุคคลเพศเดียวกันไม่ได้ โดยกลุ่มนี้ไม่ได้มีความต้องการที่จะแปลงเพศ ให้เป็นเพศตรงข้ามเขาจะพอใจในเพศที่ตนเองเป็นอยู่เพียงแต่ต้องการมี เพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันเท่านั้นเอง ส่วนพวกที่มีกิจกรรมทางเพศกับเพศเดียวกันแบบชั่วคราว เช่น ตอนวัยรุ่นอาจเคยร่วมสำเร็จความใคร่กับเพื่อนๆ โดยอาจผลัดกัน หรือไปอยู่ในที่ที่มีแต่บุคคลเพศเดียวกัน เช่น ติดคุก หรือ อยู่โรงเรียนผู้ชาย มีแต่ชายล้วน แล้วทนต่อความต้องการทางเพศไม่ไหว ใช้เพื่อนระบายอารมณ์ทางเพศ ก็ไม่เป็นกลุ่มเพศที่สาม
Hermarphrodite: กลุ่มนี้หมายถึง กะเทยแท้ๆ ประเภทที่มีระบบสืบพันธุ์ทั้งสองเพศในคนเดียวกัน เช่น อาจมีอวัยวะเพศภายนอกเป็นลักษณะเพศหญิง แต่แอบมีอัณฑะอยู่ในตัวด้วย
Transexualism: ที่รู้จักในนามกะเทย มีความรู้สึกไม่พอใจในเพศที่ตนเองเป็นอยู่ ต้องการเปลี่ยนแปลงเป็นเพศตรงข้าม ยอมรับตนเองในฐานะที่เป็นเพศตรงข้าม
Transvestis : ประเภทนี้ เป็นกลุ่มที่มีความต้องการทางเพศหรือมีความสุขเมื่อได้สวมใส่เสื้อผ้าของ เพศตรงข้าม แต่ยังพอใจในการมีเพศสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม ไม่มีความคิดที่จะมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันเลย เช่น ผู้ชายบางคนที่ชอบแต่งตัวชุดสตรีแล้วช่วยกระตุ้นให้มีความรู้สึกทางเพศที่ คึกคักขึ้น โดยยังอยากมีกิจกรรมทางเพศกับผู้หญิงเท่านั้น รูปแบบการปฏิบัติทางเพศของพวกรักร่วมเพศชาย
การปฏิบัติทางเพศของพวกรักร่วมเพศชาย ก็เหมือนการร่วมเพศระหว่างชายกับหญิง ต่างกันตรงที่ไม่ได้ร่วมเพศด้วยองคชาต กับช่องคลอดเท่านั้น
รักร่วมเพศชายจะมีบทบาททางเพศ 3 อย่าง คือ เป็นฝ่ายกระทำ เป็นฝ่ายถูกกระทำ หรือแบบผสม แต่การร่วมเพศทางทวารหนักค่อนข้างจะมีลักษณะแน่นอนว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายกระทำ หรือฝ่ายถูกกระทำ อย่างไรก็ตามรักร่วมเพศชายส่วนใหญ่มักมีบทบาททางเพศแบบผสม คือ จะเป็นแบบใดก็ได้ ตามที่คู่ของตนแต่ละคนพอใจ และมีส่วนน้อยเท่านั้นที่มีบทบาทเป็นหญิงหรือชายแน่นอน พวกที่ชอบมี บทบาทเป็นหญิงเราเรียกว่า ควีน กระเทย ลักษณะที่สังเกตได้คือ ท่าทางกระตุ้งกระติ้ง กระชดกระช้อย ซึ่งมักจะเกินกว่ากิริยาของหญิงทั่วๆ ไปด้วยซ้ำ ส่วนอีกพวกที่มีบทบาทเป็นชายเราเรียกว่า เกย์ ลักษณะที่บอกได้คือ การมีรูปร่างใหญ่ อกหนา และเป็นนักเพาะกาย รูปร่างของพวกเกย์นี้จะช่วยกระตุ้นอารมณ์เพศ ของคู่ที่ต้องการลักษณะของความเป็นชาย หรือความเป็นพ่อซึ่งเขาไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดในวัยเด็ก การร่วมเพศทางทวารหนักจะไม่มีอันตราย ถ้ารู้จักกระทำอย่างถูกต้อง โดยใช้ครีมหล่อลื่น และใช้นิ้วนวดก่อนที่จะสอดอวัยวะเพศเข้าไป แต่อย่างไรก็ตาม เพศสัมพันธ์แบบนี้ยังเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ในบางประเทศ แม้ว่าจะกระทำระหว่างชายกับหญิงก็ตาม ผู้ชายบางคนนิยมการมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าเป็นครั้งเป็นคราว ดังนั้นเขาจึงต้องพยายาม ค้นหาบุคคลประเภทเดียวกันตามสถานเริงรมย์ต่างๆ หรือตามห้องพักผู้ชาย ในเมืองใหญ่ๆ จะมีเกย์บาร์ ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับพบปะสังสรรค์ของพวกผู้ชายเหล่านี้ ซึ่งก็ดูจะไม่เพียงพอสำหรับพวกรักร่วมเพศ ปัจจุบันพวกเขาจึงพยายามหาวิธีให้พวกตนได้พบปะกันอย่างสะดวก โดยการก่อตั้งสมาคม หรือศูนย์กลางของพวกตนขึ้น พฤติกรรมรักร่วมเพศอาจเกิดขึ้นชั่วคราวในระหว่างการพัฒนาทางบุคลิกภาพตาม ปกติของคนเรา คือ ตั้งแต่ระยะเริ่มเข้าโรงเรียนจนถึงระยะแตกหนุ่มแตกสาวและจะค่อยๆ หายไปเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น หรืออาจเกิดได้ในบางสภาวะ เช่น ในขณะที่อยู่โรงเรียนประจำ ในค่ายทหาร หรือในคุกซึ่งขาดแคลนเพศตรงกันข้าม เมื่อผ่านระยะหรือสภาวะเหล่านี้ไปแล้วเขาก็มัก จะมีพฤติกรรมทางเพศเป็นปกติ
สาเหตุของรักร่วมเพศ
1. สาเหตุทางกรรมพันธ์ คาลแมน (Kallman) ศึกษาคู่แฝด พบว่าในคู่แฝดที่เกิดจากรังไข่ใบเดียวกัน ถ้าคนใดคนหนึ่งเป็นอีกคนจะมีโอกาสเป็นด้วยเสมอ แต่ในคู่แฝดที่เกิดจากไข่คนละใบ ถ้าคนหนึ่งเป็น อีกคนจะมีโอกาสเป็นเพียงร้อยละ 11.5 นอกจากนั้นยังมีผู้อื่นอีกที่สนับสนุนว่า ลักษณะดังกล่าวจะต้องเป็นสิ่งที่ติดตัวคนๆ นั้นมาตั้งแต่เกิด หรือเป็นลักษณะประจำตัวของเขาเอง ไม่ใช่มาเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมในภายหลัง ทั้งนี้เพราะคนในสังคมส่วนใหญ่ มีความสัมพันธ์กับคนต่างเพศ และส่งเสริมพฤติกรรมเช่นนี้ด้วย 2. สาเหตุจากครอบครัว ได้แก่การที่ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับบิดามารดา ที่เป็นเพศเดียวกันกับเด็กไม่ดีจากสาเหตุใดก็ตาม ทำให้เด็กไม่สามารถลอกเลียนลักษณะ และบทบาททางเพศที่ถูกต้องได้ หรือการที่บิดามารดาทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำอาจทำให้เด็ก เกลียดกลัวชีวิตรักร่วมเพศที่เขาเห็นตัวอย่าง จึงหันไปหาความสุขทางเพศกับเพศเดียวกัน การเลี้ยงดูผิดเพศเนื่องจากบิดามารดาไม่ต้องการเพศที่แท้จริงของเด็ก ก็อาจทำให้เกิดปัญหา รักร่วมเพศได้เช่นกัน การเข้าใจผิดในความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดา เช่น การที่เด็กมีโอกาสเห็น บิดามารดาร่วมเพศกันแล้วเข้าใจผิดว่าบิดากำลังทำร้ายมารดา อาจทำให้เด็กเกลียดกลัวบิดาตลอดจนคนอื่นทุกคนและหันไปหาความรัก จากเพศเดียวกันซึ่งนุ่มนวลกว่า 3. สาเหตุจากสังคม การกระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรงจากความสัมพันธ์ ระหว่างวัยรุ่นชายกับหญิงอาจเป็นสาเหตุของรักร่วมเพศได้ เช่น วัยรุ่นชายที่ผิดหวัง ความรักครั้งแรกจากหญิง อาจเศร้าโศกเสียใจมากและมองเห็นชีวิตรักต่างเพศเป็นความปวดร้าวใจ เลยหันเข้าหาเพศเดียวกันเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดหวังครั้งที่สอง มีผู้คิดถึงสาเหตุจากฮอร์โมนเช่นกัน แต่ปัจจุบันยังไม่พบหลักฐานแน่นอนว่า มีความสัมพันธ์กับรักร่วมเพศ อย่างไรก็ตามเคยมีผู้พบว่า พวกรักร่วมเพศชายมีระดับฮอร์โมนเทสโตสเตอโรน ในเลือดต่ำกว่าของคนปกติการรักษา โดยทั่วไปคนที่เป็นโรครักร่วมเพศไม่ต้องการรักษา นอกจากจะมีปัญหาทางจิตใจ หรือปัญหาทางบุคลิกภาพร่วมด้วย การรักษาแบ่งเป็น 2 ประการ คือ 1. รักษาโรครักร่วมเพศ ได้แก่ ก. จิตวิเคราะห์ เพื่อให้ผู้ป่วยได้เข้าใจความขัดแย้งภายในจิตไร้สำนึกของตน อันเป็นสาเหตุของการเกิดรักร่วมเพศ และสามารถรู้วิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง วิธีนี้ได้ผลดีพอควรในคนที่มีความตั้งใจจะรักษา ข. พฤติกรรมบำบัด ที่รายงานว่าได้ผลคือ อะเวอร์ชั่น เทอราปี (Aversion therapy) วิธีทำคือ ให้ผู้ป่วยดูรูปภาพที่กระตุ้นอารมณ์รักร่วมเพศของตนและในขณะเดียวกันก็ให้ ได้รับความเจ็บปวด หรือความรู้สึกไม่สบาย โดยการกระตุกด้วยไฟฟ้า หรือให้อาเจียนโดยการฉีดยาบางอย่าง 2. รักษาปัญหาทางอารมณ์หรือปัญหาบุคลิกภาพ โดยวิธีเดียวกับการรักษาผู้ป่วยอื่นทั่วไป ในปี 1973 สมาคมจิตแพทย์อเมริกัน (American Psychiatric Association) ได้ออกมายืนยันผล การวิจัยใหม่ ๆ และสนับสนุนให้ถอดถอนคำว่า 'homosexuality' ออกจากตำราการรักษาอาการป่วยทางจิต อย่างเป็นทางการ และในปี 1975 สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (the American Psychological Association)ได้ลงมติสนับสนุนด้วยเช่นเดียวกันทั้งสองสมาคมนี้เป็น แรงผลักดันให้กลุ่มที่เป็นผู้ชำนาญ ทางด้านโรคจิตทั้งหลาย หันมาช่วยกันทำหน้าที่ให้ความรู้ที่ถูกต้อง แก่ประชาชนทั่วไป ที่ ประณาม หรือมีความเข้าใจที่ผิด ๆ ว่า วิถีทางเพศเป็นเรื่องของอาการป่วยทางจิต นับจากปีที่มีการเปลี่ยนแปลง ความเข้าใจเรื่องวิถีทางเพศที่ผ่านมาแล้ว ทั้งสองสมาคมก็มีผลงานวิจัยอีกหลายชิ้นออกมายืนยันสนับสนุนว่า วิถีทางเพศไม่ใช่อาการป่วย
การแปลงเพศ
เป็นการผ่าตัดขั้นตอนสุดท้ายของการรักษาผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการ รับรู้เพศ เพื่อสร้างอวัยวะเพศหญิง จากอวัยวะเพศชาย ให้มีลักษณะภายนอกตรงตามสภาพจิตใจ ช่วงเวลาที่สำคัญ คือ ช่วงเวลาก่อนการตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งต้องใคร่ครวญและคิดทบทวนให้ดีถึงความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง โดยคำนึงถึงเรื่องต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบในเรื่องงาน หรือความเข้าใจจากคนในครอบครัวและคนรอบข้าง จากนั้นจึงให้เวลากับการศึกษาขั้นตอนและผลของการรักษาจากแพทย์ผู้ทำการผ่า ตัด เพื่อจะได้รับทราบรายละเอียดและคลายความกังวลได้ในระดับหนึ่งโดยทั่วไป แล้ว..ขั้นตอนการพิจารณาบุคคลที่มีคุณสมบัติ และสภาวะจิตใจที่พร้อมต่อการเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศนั้น จะต้องรับการตรวจจากจิตแพทย์ว่าได้ผ่านการทดสอบ โดยมีคุณสมบัติความพร้อมมาตรฐานโลก ดังนี้ 1. ได้ดำรงชีวิตแบบหญิงติดต่อกันเป็นระยะที่ยาวนานกว่า 1 ปี ขึ้นไป 2. เคยใช้ชีวิตเป็นหญิงอย่างสมบูรณ์ที่คนรอบข้างยอมรับได้ และคุณมีความสุขโดยไม่มีความกดดัน 3. มีความรู้ลึกเป็นหญิงมานานแล้ว หรืออาจจะเริ่มตั้งแต่จำความได้ 4. มีความรู้สึกรังเกียจอวัยวะเพศของตัวเอง และคิดว่ามันเป็นของส่วนเกิน 5. มีความรู้สึกไม่ชอบพฤติกรรมของพวกรักร่วมเพศ 6. เคยรับประทานฮอร์โมนเพศหญิงมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นในรูปยารับประทาน หรือยาฉีด 7. ได้ผ่านการประเมินสภาพจิตใจว่าอยู่ในภาวะที่ปกติ และพร้อมต่อการผ่าตัดโดยจิตแพทย์ และให้ใบรับรอง สำหรับการผ่าตัดจอย่างถูกต้องตามหลักการทดสอบสภาพจิตเมื่อได้ข้อมูลที่เพียงพอต่อการตัดสินใจ และผ่านการตรวจด้านสภาวะจิตใจ แพทย์จึงจะทำการผ่าตัดให้ ขั้นตอนการผ่าตัด เพื่อแปลงเพศซึ่งแพทย์จะใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 2-3 ชั่วโมง โดยมีขั้นตอนการผ่าตัด ดังนี้ 1. วางยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์ เพื่อไม่ให้คนไข้มีอาการเจ็บ หรือปวดในระหว่างการผ่าตัด 2. กรรมวิธีการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิงนั้น แพทย์จะทำการสร้างช่องคลอดใหม่ โดยใช้เนื้อเยื่อในส่วนที่อยู่หน้าบริเวณท่อทวารหนัก ย้ายไปอยู่เหนือท่อทวารหนักในระดับที่อยู่ใต้ท่อปัสสาวะ แล้วผ่าตัดเปิดผิวหนังให้เป็นช่องที่กว้างและลึกพอ โดยมีระยะความกว้างประมาณ 1.5-2 นิ้ว ก็จะได้ช่องคลอดเทียมที่สร้างขึ้นใหม่ ลักษณะคล้ายช่องคลอดของเพศหญิง 3. จากนั้นขั้นตอนต่อไปคือ การดึงผิวหนังจากบริเวณอวัยวะเพศชายของคนไข้ไปติดกั้นเป็นผนังช่องคลอด โดยหนังที่ถูกนำไปปลูกบริเวณนี้ได้มาจากหนังที่หุ้มอวัยวะเพศชายเดิม ความลึกของช่องคลอดจึงขึ้นอยู่กับความยาวของอวัยวะเพศชายเดิมด้วยเช่นกัน 4. อีกวิธีหนึ่งในการสร้างช่องคลอดเทียม คือ การตัดต่อท่อปัสสาวะเพศชายที่ยาวให้สั้นลง แล้วตกแต่งให้ใช้งานเปิดปิดในตำแหน่งที่สามารถนั่งปัสสาวะได้ เพราะหากเอาไว้ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องเวลาที่นั่งปัสสาวะก็อาจจะพุ่งขึ้นได้ จากนั้นจึงเปิดช่องบริเวณนั้น เพื่อสร้างช่องคลอดเทียม 5. การตกแต่งรูปร่างภายนอกช่องคลอด เช่น แคมเล็กหรือแคมใหญ่ แพทย์จะใช้เทคนิคพิเศษเพื่อเลียนแบบแคมให้ได้ใกล้เคียงกับอวัยวะเพศหญิง โดยใช้หนังบริเวณที่หุ้มลูกอัณฑะ ด้วยวิธีการตัดลูกอัณฑะออก แล้วนำหนังและเนื้อเยื่อรอบ ๆ มาตกแต่งเพื่อสร้างรูปลักษณ์ของอวัยวะภายนอกให้เหมือนของอวัยวะเพศหญิงให้ มากที่สุด 6. ขั้นตอนสุดท้าย คือ การตกแต่งประสาทรับความรู้สึกให้เป็นปุ่มรับความรู้สึกทางเพศหญิง เรียกว่าปุ่มคลิตอริส (Clitoris) ซึ่งโดยทั่วไปพบว่าความรู้สึกทางเพศ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเดิม แต่กลับมีความมั่นใจขึ้นกว่าเดิมเสียอีก เมื่อเรียบร้อยก็เป็นอันเสร็จพิธี คุณจะได้อวัยวะเพศหญิงสมใจ
หลังการผ่าตัดจะต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 5-7 วัน เพื่อจะได้อยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
รายงานผลการศึกษา
ผู้ศึกษาได้ทำการวิจัยศึกษา พฤติกรรมรักร่วมเพศ ผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งในโรงพยาบาล สวนดอก (นามสมมุติ) ที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ในลักษณะของการวิจัยเชิงคุณภาพ และนำเสนอรายงานผลการศึกษาตามลำดับหัวข้อ ดังนี้1.สถานภาพของชายรักร่วมเพศ ของผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสวนปรุง 2.พัฒนาการเพศสำนึกและเพศสัมพันธ์ 3.บริบทสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเริ่มความสัมพันธ์ทางสังคมและทางเพศ 4.ลักษณะความสัมพันธ์ของสมาชิกภายในครอบครัว ของผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสวนปรุง 5.แนวคิดของชายรักร่วมเพศเกี่ยวกับความสุข แนวทางการดำเนินชีวิต ต่อตนเอง ครอบครัว และในสังคม ของผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสวนปรุง
(1).สถานภาพของชายรักร่วมเพศ ของผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ จากการศึกษาสถานภาพ ของชายรักร่วมเพศ ของผู้ป่วย จำนวน 3 คน จำแนกเป็นชายรักร่วมเพศกลุ่มเปิดเผย หรือ กระเทย ทั้งหมด จำนวน 3 คน 1. อายุ ของกลุ่มศึกษาทั้งหมด มีอายุ ระหว่าง 26-30 ปี 2. ระดับการศึกษา เมื่อ พิจารณาในด้านพื้นฐานการศึกษา จะเห็นความชัดเจนที่แตกต่างกันชัดเจนมาก และส่งผลถึงอาชีพและทัศนคติ ความคิด กล่าวคือ จากชายรักร่วมเพศ 1 ใน 3 ของกลุ่มศึกษา มีเพียง 1 คนที่ได้รับการศึกษาในระดับที่ต่ำคือ ระดับประถมศึกษา และระดับการศึกษาระดับอุดมศึกษา 2 คน 3. อาชีพ มีการประกอบอาชีพที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นผลที่เชื่อมโยงมาจากระดับการศึกษา อย่างชัดเจน ประกอบอาชีพอิสระในลักษณะ เป็นเจ้าของกิจการ หรืองานที่เกี่ยวข้องกับการบริการโดยตรง ได้งานด้านบริการ ได้แก่ งานบาร์ร้านอาหาร ผับ/คาแฟ่/คาราโอเกะ 1 คน งานบริษัทเอกชน 2 คน 4. รายได้ เมื่อพิจารณาจาก การประกอบอาชีพของกลุ่มที่ศึกษาแล้ว มีรายได้ที่แตกต่างกัน ชายรักร่วมเพศที่ประกอบอาชีพอิสระจะมีรายได้ที่ไม่มั่นคง มีรายได้พอสมควรแก่การดำรงชีวิต ชายรักร่วมเพศที่ทำงานบริการ 1 คน จะมีรายได้ที่ค่อนข้างต่ำกว่า 2,500 บาทต่อเดือน ซึ่งนอกเหนือจากงานบริการที่ทำแล้ว ยังมีรายได้จากการขายบริการทางเพศเสริมด้วย รายได้จากการขายบริการทางเพศ ประมาณคืนละ 300-1,000 บาท ชายรักร่วมเพศที่ทำงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ 2 คน จะมีรายได้ที่ ค่อนข้างสูงในการดำรงชีพ และมีรายได้ที่มั่นคง ระบุว่าไม่มีรายได้จากการขายบริการทางเพศ 5. ข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัว ชายรักร่วมเพศที่ทำการศึกษา ได้รับอิทธิพลจากครอบครัว ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาการทางความคิด ทัศนคติ การกระทำ จนทำให้เกิดเป็นพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ ทั้งหมด ซึ่งเมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้ว พบข้อมูลที่เกี่ยวกับครอบครัวของทั้ง 3 คน มีส่วนที่คล้ายคลึงกัน กล่าวคือ ชายรักร่วมเพศทั้ง 3 คน มีข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวดังนี้ บิดาและมารดาหย่าร้างกันกันอยู่ 2 คน และบิดามารดาเสียชีวิต 1 คน ชายรักร่วมเพศทั้ง 3 คนมีความคล้ายคลึงกันตรงที่ ครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ คือ ขาดบิดาและขาดทั้งบิดาและมารดา เป็นลูกคนเดียวจำนวน 2 คน และเป็นลูกคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้องทั้งหญิงและชายทั้งหมด 5 คน 6. สถานภาพสมรส เมื่อ พิจารณาจากสถานภาพการสมรสพบว่ามีความ เหมือนกันคือ สถานภาพโสด โดยไม่มีการสมรส หรือผ่านการสมรสกับผู้หญิงมาก่อน ทั้ง 3 คน 7. ที่อยู่อาศัย ชายรักร่วมเพศจำนวน 2 คนจะอาศัยอยู่กับมารดา และพักอาศัยอยู่ตามลำพัง 1 คน
พัฒนาการเพศสำนึกและเพศสัมพันธ์
เมื่อขอให้กลุ่มศึกษา ชายรักร่วมเพศ ทบทวนความจำ ย้อนหลังไปถึงความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรม ของตนที่อาจจะเกี่ยวกับความเป็นชายรักร่วมเพศในปัจจุบัน กลุ่มฯสามารถจำได้อย่างชัดเจนว่าตนเองมีความรู้สึก ต่อผู้ชายอย่างไรในวัยเด็ก โดยจะระลึกได้ว่าตนเองมีความรู้สึกหรือพฤติกรรมบางอย่าง ที่อาจบ่งบอกถึงเพศสำนึกในปัจจุบัน เช่นชอบเล่น หรือ คบกับเด็กผู้หญิง กิจกรรมที่เล่นมักจะโน้มเอียงไปทางกิจกรรมที่ปฏิบัติในกลุ่มเพศหญิง ความรู้สึกและพฤติกรรมเหล่านี้จะพัฒนาเป็นความชอบ ความรู้สึกพึงพอใจ อบอุ่นมีความสุขเมื่ออยู่ใกล้ผู้ชายจากการให้สัมภาษณ์ของพี่แน็ก(นามสมมุติ) : "ชอบเล่นขายของ เดินเป็นนางแบบ มีความสุขเมื่อใส่เสื้อผ้าผู้หญิง ชอบใส่รองเท้าส้นสูง ทาลิปสติกของแม่ แม่ไม่ได้ว่าอะไร เริ่มชอบเพื่อนในห้องเรียนเมื่ออายุ 10 ปี ชื่อ พี่ ล.อ. (นามสมมุติ) รู้สึกว่าตนเองไม่เหมือนผู้ชายคนอื่น อ่อนแอ อย่างให้คนอื่นปกป้อง"
การได้เรียนรู้บทบาทหน้าที่ที่ผิด หรือการที่ครอบครัว โดยเฉพาะบิดามารดา มีความเอาใจใส่ในบุตรคนใดคนหนึ่งหรือปล่อยปละละเลยบุตร ขาดการดุแลสั่งสอน เอาใจใส่ ก็ มีส่วนทำให้เด็กเกิดพฤติกรรมหรือความคิดเบี่ยงเบนทางเพศได้เช่นกัน
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่ปอ(นามสมมุติ) : "ฐานะครอบครัวทางบ้านไม่ค่อยดี พูดตรงๆยากจนมาก พี่เป็นลูกคนที่3 มีพี่ชาย2คน มีน้องอีก 2 เป็นผู้หญิง พี่ชายทั้ง 2 รวมพี่อีกคนได้เรียนถึงแค่ ป.4 ต้องทำนา ตากแดดจนดำ สกปรก ลำบาก ส่วนน้องผู้หญิงได้เรียนหนังสือ จึงทำให้พี่รู้สึกว่าการเกิดเป็นผู้ชายนั้นต้องลำบาก ไม่ได้รับสิ่งดีๆสักเท่าไหร่ เมื่อเปรียบเทียบกับน้องสาวแท้ๆของพี่ เธอทั้งสองมักมีคนดูแลเอาใจใส่ ส่วนพี่ก็ปล่อยไปตามยถากรรม ให้ไปไหนมาไหนเองตลอด สิ่งที่พี่ได้เรียนรู้ในตอนเด็ก คือความลำบาก จึงคิดในใจว่า "ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงดี" "
การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายครั้งแรกอาจจะเป็นเพราะสถานการณ์สภาพแวด ล้อม การ ทำให้เกิดมีอารมณ์อยากรู้ อยากลอง หรือส่วนหนึ่งอาจเป็นความต้องการในจิตสำนึกของตนเองเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว หรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ จึงเกิดการฝังใจ เรียนรู้บทบาททางเพศที่ไม่ถูกต้อง รู้สึกว่า "ชอบ ติดใจ" กับการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกกับผู้ชาย
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่แน็ก(นามสมมุติ) : "เมื่อตอน อายุ 13 อยู่ ม.1 โรงเรียนประจำ อาบน้ำกับเพื่อนตามประสาผู้ชาย วัดขนาด เอามือจับ ทำให้จนเสร็จแล้ว ชวนไปห้องน้ำใช้ปากทำให้ รู้สึกเสียวดี มีความสุขเพราะไม่เคยมี เซ็กซ์กับใคร พอใกล้เสร็จ เขาคงรู้เลยว่าอย่างลองเอา ประตูหลังกัน ชอบ มันส์สุดๆ แต่ตอนนั้นเด็กก็มีความกลัวอยู่บ้าง เจ็บมากๆเลย รู้สึกว่าพี่ชอบผู้ชายเต็มตัวและเราก็เป็นผู้หญิงเต็มๆตัวด้วยเหมือนกัน"
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่ปอ(นามสมมุติ) : "ระหว่างที่พี่เดินผ่านสนามหลวงมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ16-18 ปีเข้ามาทักทายและชวนไปนอนที่ห้องด้วย เพราะพักอยู่คนเดียว ในระหว่างที่ พี่กำลังนั่งเคลิ้มๆหลับอยู่บนรถ นั้นพี่ก็ รู้สึกว่ามีอะไรมากระทบที่อวัยวะเพศของพี่ พอลืมตาดูก็ปรากฏว่าเขากำลังใช้ปากทำให้ ความรู้สึกเสียวซ่านไปทั่วตัว พี่ก็ไม่ว่าอะไรนะ(หัวเราะ) ปล่อยเลยตามเลยไปรู้สึกว่าชอบมากๆและมีความสุขมากๆ และคืนนั้น ก็จบลงที่เรามีเซ็กส์โดยการพี่เป็นฝ่ายรับ ตอนเช้าพี่ก็ไปทำงานเขาก็กลับบ้าน และนัดเจอกันอีก มีเซ็กส์กันตลอด ในระยะเวลา 2 อาทิตย์ ทำให้พี่รู้จักความต้องการของพี่ดีขึ้น ตอนนั้นสนามหลวงมีทั้งขายบริการ การหาคู่นอนชั่วคราวของชาวเกย์และกระเทย "
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่คิด(นามสมมุติ) : " ประมาณที่พี่อยู่ ป.4-ป.5 ไปเที่ยวบ้านญาติที่ต่างจังหวัด ได้รู้จักกับญาติคนหนึ่งมีศักดิ์ เป็นน้าพี่ เขาชอบมาคลุกคลีกับพี่จนพี่รู้สึกได้ ครั้งหนึ่งเขาขอมีเซ็กซ์ กับพี่โดย ใช้ปาก ตอนนั้นพี่ยังเด็ก และก็ไม่ทราบว่ามันคืออะไร พอจบ ป.6พี่ก็ไปที่กรุงเทพฯ เพราะคิดว่าจะไปเรียนต่อที่โน่น พี่ไปพักอยู่กับพี่สาวต่างแม่ ที่มีลูกชายคนโต อายุร่นราวคราวเดียวกับพี่ โดยที่เขามีศักดิ์เป็นหลานของพี่ คืนนั้นที่ห้องนอนพี่ หลานชายคนนี้ จู่ๆก็เข้ามากอด ลูบๆ คลำๆ แล้วก็ลงเอยด้วยการมีเซ็กซ์กันเหมือนที่น้าทำกับพี่ และยิ่งกว่านั้น พี่ยังบังเอิญไปเห็นหลานชายคนนี้ ทำกับพ่อเลี้ยงของเขาเหมือนกับที่ทำกับพี่ ตอนนั้นพี่ก็เลยเข้าใจไปเองว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายเขาปฏิบัติต่อกัน และก็ยังรู้สึกว่าตัวพี่เองชอบ และไม่ได้มีความผิดปกติไปจากคนอื่น แต่ทุกอย่างก็ถูกเก็บเป็นความลับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา"
3.บริบทสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเริ่มความสัมพันธ์ทางสังคมและ ทางเพศ สภาวะแวดล้อมซึ่งผู้วิจัย ได้เริ่มรู้จัก ทำความสนิทสนมกับ กลุ่มชายรักร่วมเพศแล้ว แสดงให้เห็นว่ามีพัฒนาการ การรับรู้ทางเพศ จากช่วงที่อยู่ในวัยเด็กมาเรื่อยๆ กลุ่มชายฯที่ได้ศึกษาจะรับรู้ว่าตนเองชอบชายชัดเจน ควบคู่ไปกับการประจักษ์ว่าสังคมทั่วไป ยังไม่ยอมรับในพฤติกรรมชายรักร่วมเพศ โดยเฉพาะเรื่องเพศสัมพันธ์ระหว่าง ชายกับชายจะมีคำวิพากษ์วิจารณ์ ว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ปกติ สภาวะแวดล้อมที่สร้างความแปลกแยกนี้ทำให้การสร้างความสัมพันธ์ทั้งทางสังคม และเพศสัมพันธ์ ซึ่งต้องมีการการสื่อสาร ด้วยภาษากาย อาศัยสายตา และการ นั่ง-เดิน-ยืน เป็นสำคัญ และต้องอาศัยบริบทสิ่งแวดล้อมเพื่อเอื้อให้เกิดสังคมของกลุ่ม ชายรักร่วมเพศมาก ดังนั้นสถานภาพของบริบทจึงเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อ สังคมชายรักร่วมเพศ มากพอสมควร จำแนกเป็นประเภทใหญ่ๆได้ 3 ประเภท ได้แก่
1)สื่อมวลชนในลักษณะต่างๆ ได้แก่ วารสาร นิตยสาร รวมทั้ง โทรศัพท์ อินเตอร์เน็ท เป็นต้น
2) สถานที่สาธารณะ เช่น สวนสาธารณะ สวนหย่อม สนามกีฬาสาธารณะ และห้างสรรพสินค้า และ
3) สถานบันเทิงต่างๆ เช่น โรงภาพยนตร์ ผับ บาร์ คาราโอเกะ และซาวน่า
การใช้บริการในแต่ละ บริบทสิ่งแวดล้อมในแต่ละ กลุ่มอาชีพแตกต่างกัน หรือตามความชอบ
นิตยสาร ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยที่เป็นที่รู้จักกับใน หมู่ชายรักร่วมเพศ มานานเป็นเวลากว่า 10 ปี เช่น หนังสือ "นีออน" ที่พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2527 ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางให้กลุ่มชายรักร่วมเพศ ติดต่อรู้จักกันด้วยนิตยสาร และนิตยสารอื่นๆ เช่น มรกต มิถุนา และ MALE เป็นต้น
สื่อโทรคมนาคม บริการโทรศัพท์ปัจจุบันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ พัฒนาเป็นสื่อธุรกิจทางเพศ เช่น เกย์ไลน์ บัดดี้ไลน์ และปาร์ตี้ไลน์ เป็นต้น โดยผู้จัดบริการจะมี เบอร์โทรศัพท์ให้แก่ผู้ใช้บริการ ติดต่อหาผู้ที่สนใจหรือหาความพอใจทางเพศด้วย จะคิดบริการแก่สมาชิก ด้วยอัตรา ประมาณ 500-1,200 บาทต่อเดือน หรือจะเป็นการติดต่อทางอินเตอร์เน็ท เช่น Website ที่เป็นแบบ chat room
ตัวอย่างโฮมเพจของกลุ่มชายรักร่วมเพศ ที่จัดทำโดยคนไทย
ชื่อโฮมเพจ ที่อยู่โฮมเพจManOnly(1) http://manloveman.web1000.com/
ThaiSexStory http://www.ThaiSexStory.com/showmenu.pl?cate=g
Boy on the net http://www.Boyonthenet.com/
GayMate http://www.Gaymate.zath.net/
GayBKK http://www.siam.to/gaybkk/
30 Up http://www.30up.org/
#เกย์ม.ปลาย http://www.go.to/gaymoplai
GLifeStyle http://www.Glifestyle.com/
???????? http://lovekrittaya.spaces.live.com
จากการให้สัมภาษณ์ของ พี่คิด(นามสมมุติ) : " Buddy Line ไม่เสียเงินช่วง Promotion เล่นได้ครั้งละ 10 นาที 3 ครั้ง ต้องรออีก 3 ชั่วโมงจึงเล่นได้อีก คุยกันเยอะมาก ชอบคุยกันเรื่อง เซ็กซ์, sex phone ชอบมากสนุก ฟังคนแนะนำแปลกๆ เช่น ช่วงนี้ผม อยากเย็ด คนผิวขาวๆ..." "เล่นเมื่อ 1 ปี ก่อนเล่นบ่อยมาก ตอนนี้ ไม่เล่นแล้วเหมือนคนโรคจิต "
จากการให้สัมภาษณ์ของ พี่แน็ก(นามสมมุติ) : "โทรไปหาคนที่ลงใน Net แล้วนัดไปมี เซ็กซ์กัน นัดเจอกันที่นอกบ้าน พี่อยู่กับแม่หน่ะเลยเกรงใจ ไม่อยากให้แม่รู้ว่าทำอะไรกัน จะเลือกคนที่หุ่นดี ดูแมนๆหน่อยก็จะมีเซ็กซ์ด้วย"
สวนสาธารณะ สำหรับชายรักร่วมเพศบางกลุ่ม ก็เป็นสถานที่นัดพบปะเพื่อนฝูง ออกกำลังกาย และหาคนถูกใจในเวลาเดียวกัน บางรายถึงกับกล่าวว่า "ที่นี่เป็นสวรรค์ที่ไม่มีชนชั้น" ชายรักร่วมเพศที่มาส่วนใหญ่ นั้นจะมาเพื่อหาความสุขชั่วคราวเท่านั้น
จากการให้สัมภาษณ์ของ พี่แน็ก(นามสมมุติ) : "ไม่ค่อยได้ออกไปนะ ก็ตอนนั้นยังไม่ได้เปิดเผยตัวหนิ เลยกลัวคนที่รู้จักมาเห็น ส่วนใหญ่ก็จะเจอเพื่อนสาวเหมือนกัน มานั่งเมาท์กันและก็หาเหยื่อถ้าขับรถผ่านๆนะ เห็นพวกขายบริการตามต้นไม้ เสาไฟ เต็มเลย "
"....ส่วนใหญ่ๆที่ทราบๆ ก็สวน.....ดอก (นามสมมุติ) และสวน...(อ่าง)แก้ว (นามสมมุติ) ช่วงกลางวันจะนั่งรวมกันเป็นกลุ่มๆ ตอนค่ำจะนั่งหรือยืนอยู่ในมุมมืดๆ เป็นที่เปลี่ยวๆ นั่นแหละเกย์เลย ไม่งั้นก็ขายตัว "
จากการให้สัมภาษณ์ของ พี่ปอ(นามสมมุติ) : "ชอบเที่ยวแถวสวนสาธารณะมากกว่า ไม่ต้องเสียเงิน ได้เจอเพื่อนกระเทยสาวๆด้วย เผลอๆได้มันส์ แถมได้เงินใช้ฟรีๆด้วย แต่ต้องเป็นสวนที่พวกเนี้ยะ(ชายรักร่วมเพศ)รู้กันนะจ๊ะ "
ห้างสรรพสินค้า เป็นสถานที่ที่กว้างขวาง ความนิยมในแต่ละห้าง มากน้อยต่างกัน พื้นที่บริเวณใดที่มีโอกาสได้รู้จักกับชายรักร่วมเพศ ก็จะมีการบอกต่อๆกัน โดยเฉพาะหน้าห้องน้ำชายจะมากบริเวณที่ไม่ค่อยมีคนใช้บริการ หรือมุมที่มีโทรศัพท์สาธารณะ
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่คิด(นามสมมุติ) : " พี่ไปเที่ยวห้าง ก.ส.ก. (นามสมมุติ) และ ห้าง ซ็.ท.อ.พ.พล.ซ่. (นามสมมุติ) บ่อย มีคนเข้ามาทัก "คุณน่ารักจังเลยครับ" ให้นามบัตรกับพี่ "เราไปกินข้าวกันนะ โทรไปหาพี่นะ" รู้สึกว่าเขาจะมากับเมียนะ เมียเขาเลือกของอยู่ มองไปเห็นเขามองพี่อยู่ก่อนแล้ว ปลีกตัวจากผู้หญิงเข้ามาทักพี่ พี่ไม่ได้ให้เบอร์โทรเขาไป และพี่ก็ไม่โทรไป สงสารผู้หญิงนะ ไม่อยากลงหน้าหนึ่ง กระเทยสาวดับอนาถ ชะนีตามฆ่าถึงหอพัก เหตุแย่งสามีกัน (หัวเราะ)"
สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ เป็นสถานที่สังสรรค์ของกลุ่ม ชายรักร่วมเพศ อีกรูปแบบหนึ่ง แต่จะเป็นที่ทราบกันว่าเป็นสถานที่เฉพาะของกลุ่มชายรักชาย สถานบันเทิงเหล่านี้ก็จะตั้งอยู่ในย่านใกล้เคียงกัน ในร้านก็จะมีโชว์พิเศษทุกคืนหรือในวันหยุด บางแห่งอาจจะจัดพื้นที่ส่วนหนึ่งให้บริการลูกค้าที่ต้องการมีเพศสัมพันธ์กัน
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่คิด(นามสมมุติ) : " ช่วงก่อนที่ยังไม่ได้เปิดเผยตัว ก็ไปบ่อยนะ ไปบ่อยมากแทบทุกวันเลย ไปพบปะเพื่อนๆ ก็สนุกสนาน ไม่ได้ตั้งใจไปหาคู่นอน แต่ถ้าได้กลับมาก็ถือ ว่ากำไร ไปเพื่อคลายเครียดและสนุกสนาน การแสดงออกในที่เที่ยวจะมีมาก เพราะอยู่ในสังคม กลุ่มคนแบบเดียวกัน ไม่ต้องคอยแอ๊ปแมน อึดอัด แต่อย่างน้อยการมี พื้นที่ชั่วคราว ตรงนี้คง ช่วยให้ชีวิตที่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ของพวกพี่(ชายรักร่วมเพศ ได้มีความหมายขึ้นมาบ้าง ก็เท่านั้นเอง "
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่แน็ก(นามสมมุติ) : "ไม่ชอบเที่ยวสถานที่แบบนี้สักเท่าไหร่ ดูเหมือนพวกมั่ว มองดูสกปรกยังไงไม่รู้ เหมือนพวกไม่อิ่มในรสสวาท หาคนจริงใจยาก "
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่ปอ(นามสมมุติ) : "เหมือนไม่ได้เที่ยวเลย ก็ทำงานอยู่ทุกวัน ถ้าชอบก็จะเป็นที่สวนมากกว่า แต่ถ้าหากมีคนมาสนใจ อันนี้ก็เป็นผลพลอยได้นะ " " ส่วนมากก็จะมีคนเข้ามาคุยด้วยก่อน เพราะพี่เป็นคนขี้เล่น ยิ้มง่าย จนสนิทกัน ลงเอยด้วยการมีเพศฯกันนั่นแหละ"
4.ลักษณะความสัมพันธ์ของสมาชิกภายในครอบครัว ของผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสวนดอก (นามสมมุติ)
ความสัมพันธ์ในครอบครัว ความใกล้ชิดสนิทกันตั้งแต่วัยเยาว์ บ่งถึงความสัมพันธ์ทางใจ ที่สมาชิกในครอบครัวมีต่อกัน ความผูกพันนี้จะเป็นพื้นฐาน ที่ช่วยทำให้ยอมรับความเป็นชยรักร่วมเพศ ในภายหลัง
จากการศึกษาพบว่าเหตุผลที่มี อิทธิพลต่อความผูกพันกับสมาชิกครอบครัว พอจะจำแนกได้เป็น 4 ประเภท คือ
1)ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและแม่
2)บุคลิกและพฤติกรรมของสมาชิก
3) การเป็นที่พึ่งให้คำปรึกษาหารือ และประการสุกท้าย
4) การยอมรับในความเป็นชายรักร่วมเพศ เหตุผลที่ทำให้มีความสนิท หรือไม่ชอบสมาชิกในครอบครัวแต่ละบุคคลในครอบครัว
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่คิด : "ทั้งพ่อและแม่แยกกันอยู่ อยู่กับแม่จึง สนิทกับแม่มาก จะเล่าเรื่องและปรึกษาแม่ได้เกือบทุกเรื่อง แต่ไม่ชอบพ่อ เพราะพ่อดุ พ่อชอบบังคับ จึงไม่อยากคุยกับพ่อและก็ไม่ค่อยได้เจอพ่อด้วย แม่ทราบว่าเป็นกระเทย เพราะบอกแม่เลือกที่จะบอกแม่พี่ หลังจากแม่พี่สวดมนต์เสร็จ ต้องระมัดระวัดเหมือนกันเพราะแม่พี่เป็นโรคหัวใจ และความดันโลหิตสูงด้วย ส่วนพ่อพี่ไม่รู้ พอเจอกันก็ไม่เห็นเขาพูดเรื่องนี้ "
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่แน็ก : "พ่อกับแม่พี่แยกกัน พี่อยู่กับแม่เลยสนิทกัน ส่วนพี่ไม่ค่อยสนิท เพราะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน พ่อพี่เป็นทหาร น่ากลัว แต่พ่อพี่ก็ไม่ได้ทำอะไรพี่นะ ตอนเด็กๆพี่นั่งเล่นอยู่หน้าบ้านพอเห็นพ่อเข้าบ้านมา รีบวิ่งหนีเข้าบ้านเลย ส่วนแม่พี่บอกแม่พี่ว่า พี่ไม่ใช่ผู้ชาย พี่มีแฟนเป็นผู้ชาย แม่พี่ก็ไม่ได้ตอบอะไรนะ สักพักแม่ก็กอดพี่เราทั้งคู่ ก็กอดกันร้องไห้ แม่ไม่ได้ร้องให้ฟูมฟายอย่างที่พี่คิด แต่พี่คิดว่า "ขอโทษครับแม่ผลทำให้แม่ผิดหวัง ในตัวผมมากใช่ไหม ผมขอโทษ" พอตอนเช้าทั้งพี่และแม่ตาบวมทั้งคู่เลย "
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่ปอ : พ่อและแม่เสียชีวิตตั้งแต่ตอน อายุ 13 ปี ในครอบครัวพี่น้องทั้ง 5 คนจะสนิทกับน้องสาวคนที่ 4 มากที่สุด คงเพราะเราอายุไล่ๆกันเลยสนิทกัน พูดกันได้ทุกเรื่อง และเขาก็เป็นเด็กดี เรียบร้อย ตั้งใจเรียน เขารู้ว่าพี่เป็น กระเทย ก็ยอมรับได้ ไม่รังเกียจหรือแสดงกิริยาที่เหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนไป
จากการศึกษาพบว่า ทั้ง 3 คน ให้ความช่วยเหลือครอบครัว 2 คน ส่งเงินให้อย่างสม่ำเสมอ หรือรับผิดชอบค่าใช้จ่ายภายในบ้านและช่วยงานครอบครัว ให้ความช่วยเหลือเป็นบางโอกาส อีก 1 คนไม่ได้ให้ความช่วยเหลือทางครอบครัวอย่าต่อเนื่อง แต่ก็ได้มีการติดต่อกันเป็นบางโอกาส จากประเด็นในเรื่องมหสุขนั้น เรื่องของการกระทำใดๆถ้าทำให้เกิดความสุขก็ถือเป็นเรื่องดี แต่การกระทำใดทำให้เกิดความทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่ดีและไม่ควรที่จะกระทำ แต่เมื่อความสุขในพฤติกรรมของกลุ่มชายรักร่วมเพศ นั้นส่งผลให้บุคคลในครอบครัว เกิดความทุกข์ หรือไม่ต้องการในพฤติกรรมนั้น การตัดสินพฤติกรรมใดที่ถูกหรือผิด สมควรทำหรือไม่
สมควรทำนั้นคือตัดสินที่ความสุขเมื่อต่างฝ่ายต่างมีความสุขที่ตรงกัน ข้ามกัน สิ่งที่จะใช้ในการตัดสินก็คือหลักมหสุข โดยความสุขส่วนตัวต้องสอดคล้องกับ ความสุขส่วนรวม เพื่อเป็นแนวทางที่สามารถที่จะอยู่ร่วมกันและดำรงความเป็นครอบครัวไว้ได้ การให้การยอมรับในพฤติกรรมชายรักร่วมเพศ ในครอบครัวนั้น ส่วนมากสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะมารดา หรือพี่สาวน้องสาวนั้นจะให้การยอมรับได้ ในความเป็นชายรักร่วมเพศ แต่การยอมรับในพฤติกรรมบางอย่างของชายรักร่วมเพศนั้นก็ ยอมรับได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งสมาชิกในครอบครัวก็จะมีข้อตกลง ในพฤติกรรมของชายรักร่วมเพศ ว่าสมควรที่จะปฏิบัติหรือไม่ เป็นการยอมรับและเข้าอกเข้าใจ ในความแตกต่าง ความต้องการจริงๆ เพื่อที่จะสามารถอยู่ร่วมกันได้
จากการให้สัมภาษณ์ของแม่พี่แน็ก : "การเป็นกระเทยไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นมันขึ้นอยู่กับว่าการทำดี การที่คนหนึ่งเป็นคนดีแต่ชอบแบบนี้เขาจะบาปมั๊ยหล่ะ การที่คนบางคนเกิดมาเป็นแบบนี้มันอยู่ที่จิตสำนึกลึกๆ ว่าเค้าต้องการอะไรความอ่อนไหวในจิตใจบ่งบอกให้เขาเป็นแบบนี้ การที่เขาเป็นแบบนี้มันเป็นความต้องการภายในจิตใจ"
"คนเราเกิดมาชาติเดียว ก็ย่อมหาความสุขใส่ตัว เมื่อมันไม่ใช่เขาก็ต้องเลือกในสิ่งที่ใช่ ที่ขึ้นอยู่กับ บรรทัดฐานแห่งความดี แม่กลับภูมิใจด้วยซ้ำที่ลูกเกิดมาเป็นแบบนี้ ไม่เกเร เป็นคนดี และดูแลแม่ไปจนตาย โดยไม่แบ่งปันไปให้หญิงใด ถ้าแม่รับเขาไม่ได้ก็คงฆ่าทิ้งไปแล้ว"
"แม่มีลูกที่เป็นกระเทย ลูกที่เข้ามาบอกแม่ได้เต็มปากว่า แม่ครับผมชอบผู้ชายด้วยกัน ผมเป็นกระเทย ทำไมเขากล้าพูดเพราะเขาไม่มีใคร นอกจากแม่ที่เป็นแม่ และแม่ก็คงฆ่าลูกไม่ได้แน่ ๆ หนูรู้มั๊ยวันที่ลูกเข้ามาบอกแม่ว่าเขาเป็นกระเทย แต่สิ่งที่เขาพูดตามท้ายมาก็คือ เขาจะเป็นคนดีและ ไม่ทำความเดือดร้อนให้แม่และใครๆ ในสังคม"
จากการให้สัมภาษณ์ของแม่พี่คิด : "นะแม่พูดได้คำเดียวถึงแม้ลูกแม่เขา จะเป็นอะไรก็ตามสิ่งที่ แม่จะยังมีให้เสมอ ก็คือความรัก ความห่วงใย และกำลังใจที่เต็มเปี่ยม"
"เราจะอยู่ด้วยกัน 2 แม่ลูกนี่แหละ ไปจนวันตาย แต่แม่ขอเอาไว้เรื่องหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้แม่บอกเขาว่าทำใจไม่ได้ ก็คือเรื่อง อย่ามีแฟนเป็นผู้ชายนะเพราะแม่ยังยอมรับไม่ได้ รู้ว่าลูกเป็นกระเทย ชอบผู้ชาย และไม่แต่งงานแม่ยังพอจะหักห้ามความเสียใจ และยอมรับไหว แต่ เรื่องมีแฟนเป็นผู้ชายเนี้ยะ แม่เครียด ขอร้อง "
"ไม่วาเราจะให้ความหมาย หรือนิยาม พวกเขาว่าอะไร กระเทย ตุ๊ด เกย์ เขาก็ยังเป็นคนดี เป็นคนเลว เป้นนักธุรกิจ นักร้อง เป็นคนโง่ เป็นคนฉลาด เป็นคนกล้า และเป็นคนธรรมดา ที่ใช้อากาศหายใจ อยู่ที่ว่าเราจะใช้ "ไม้บรรทัด" อะไรในการวัดและแบ่งเท่านั้นเอง "
จากการให้สัมภาษณ์น้าพี่ปอ : "น้าก็อวยพรให้พวกเขาทั้งสอง(พี่ปอและแฟนพี่แค้ทซึ่งเป็นหลานชายของน้า) ผ่านอุปสรรคในชีวิตคู่ไปได้ และมีความรักที่มั่นคง ยิ่งขึ้นทุกวัน มันทำให้รู้สึกว่าชีวิตเขาสองคนมีที่พักพิงและมีหลักยึด เป็นที่ปรึกษาให้พวกเขา อย่างที่น้าบอกเขาทั้งสองคนว่า รักแท้นั้นอดทนนาน"
"อย่างที่น้าบอกไว้ตอนที่พวกเขาย้ายมาอยู่ด้วยกันวันแรก แม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ให้พวกเขารู้ว่ามีอย่างหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนเลย คือความรักจากน้า ให้ถือว่าน้าเป็นครอบครัว เป็นญาติผู้ใหญ่ เป็นพ่อและแม่ของเขาคนหนึ่ง ซึ่งยังคงเป็นที่พักพิง เป็นหลักยึด เป็นแหล่งกำลังใจ และเป็นที่ซับน้ำตาให้ ก็จะให้ความรักความอบอุ่นแก่เราให้มากที่สุดเท่าที่น้าจะทำได้" จากการให้สัมภาษณ์น้องพี่ปอ : "ยอมรับได้ค่ะ ที่พี่ชายกลายเป็นพี่สาว ก็ยิ่งดี คุยกันได้ทุกเรื่องไม่ต้องเกรง แต่ที่ไม่ชอบและยอทมรับไม่ได้ ก็ตรงที่พี่มีแฟนเป็นผู้ชายค่ะ เวลาเห็นพี่กับแฟน อยู่ด้วยกัน หนูรู้สึกไม่ชอบเลย มันดูแปลกๆ น่าเกลียดยังไงไม่รู้เหมือนกันค่ะ ไม่อยากให้พี่มีแฟนด้วย แต่เป็นกระเทยหนูไม่ว่าหรอก ดีซะอีกหนูอยากมีพี่สาวค่ะ"
ความเป็นอยู่และความคิดสร้างครอบครัวตนเอง
จากการศึกษาพบว่า มี 1 คนที่เคยใช้ชีวิตและมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงมาก่อนที่จะเปิดเผยตัวว่าเป็น ชายรักชาย และได้เคยอยู่กินร่วมกัน และเลิกกันแล้ว เหตุผลที่ต้องเลิกกันคือ การใช้ชีวิตคู่ไม่ได้เกิดจากความรัก อยู่ด้วยกันอย่าง ไม่มีความผูกพัน เป็นการเสียสละในความสุขหรือความต้องการในเพศสำนึกของตนเองเพื่อ ความสุขหรือความสบายใจของผู้อื่น จากประเด็นในเรื่อง มหสุขถ้า การเสียสละความสุข ส่วนตัว การอุทิศตนเอง นั้นเป็นเรื่องที่เป็นสิ่งที่ดีในแง่ที่เป้นความดีในตัวเอง แต่การอุทิศตัวบางครั้งก็สูญเปล่า ถ้าผลของการเสียสละนั้นไม่ได้นำมาซึ่งความสุขหรือเพิ่มความสุขให้แก่ส่วนรวม การสละความสุขของตัวเอง เพื่อผู้อื่นนั้นต้องคำนึงถึงความสุข ของผู้ที่กระทำด้วยเพราะ ตัวเราเองก็ต้องคำนึงถึงความสุขของตนเองด้วย แต่เมื่อผลลัพธ์ที่ได้ ความสุขที่ท่านไดรับ หรือ น้อยกว่าที่ท่านไม่ต้องการเสียสละนั้นก็อย่าทำ ที่สำคัญจงนับตัวท่านเท่ากับผู้อื่นจากการให้สัมภาษณ์ของพี่ปอ : "เคยอยู่กินกับผู้หญิงมาก่อน แต่ไม่ได้มีลูกด้วยกัน เพราะเขาเป็นเมียของเพื่อนสนิทตอนเด็กที่พี่แอบชอบ คนนี้นรู้จักกันทั่วไปในนาม พี่อม (นามสมมุติ). เขาได้ฝากดูแลเมียกับลูกเขาให้พี่ช่วยดูแล เพราะพี่เป็นคนที่เขาไว้ใจมากที่สุด พี่ก็ตกลงอยู่กินกับเขา มา 1 ปี เลิกกันเพราะผู้หญิงไปมีชู้ พี่เคยเตือนหลายครั้งเขาก็ไม่เลิก จนครั้งสุดท้ายเห็นกับตา รับไม่ได้เลย เลิกกัน"
ส่วนอีก 2 คน ไม่คิดที่จะมีครอบครัวกับผู้หญิง และไม่คิดจะมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงด้วย
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่แน็ก : "อย่างพี่นี้พี่ไม่เคยแคร์ ใคร ถึงแม้พี่จะเป็นตุ๊ด พี่ก็เป็นแต่ให้เป็นตุ๊ด แล้วไปมีอะไรกับใครเพื่อสร้างภาพว่าเราเป็นชายแท้ โดยไปมีแฟนหรือแต่งงานกับผู้หญิงพี่ไม่ทำนะและไม่เคยคิดด้วย ไม่อยากทำร้ายใครไม่ว่าหญิงหรือชายไม่อยากให้ใครมาทุกข์เพราะเรา "กระเทย หรือเกย์ บางคนก็มีความเข้าใจว่า แต่งงานไปแล้ว ถ้ามีเซ็กซ์กับผู้หญิงอาจจะทำให้หายเป็นได้ ซึ่งหลายคนมีเซ็กซ์ได้ แต่ในที่สุดก็พบว่า มันไม่ใช่สิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่อาหารที่ถูกปาก กินได้แต่ไม่เต็มปากเต็มคำ" เพราะพี่เข้าใจว่าชีวิตเรานะเรากำหนดเอง "
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่คิด : "ไม่คิด เพราะว่ากลัวทำให้ผู้หญิงเสียใจ ไม่อยากหลอกใคร กระเทยมันไม่ได้เป็นโรคจิตนะจะได กินยา บำบัดแล้วก็หาย เป็นแล้วเป็นเลย ไม่มีทางหาย และก็ไม่มีใครอยากเป็นหรอก แต่เมื่อมันเป็นไปแล้ว ก็แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว นอกจากจะเป็นคนดีของสังคม ดีกว่าอย่าไปหลอกใครเลย" ส่วนการใช้ชีวิตร่วมกับชายรักชายเหมือนกัน จากการศึกษาพบว่า มี 2 คนที่เคยใช้ชีวิตคู่และมีความสัมพันธ์กับชายมาก่อนที่ ได้เคยอยู่กินร่วมกัน ส่วน 1 คน ไม่เคยและไม่คิดที่จะใช้ชีวิตคู่ เลย มีความคิดที่จะใช้ชีวิตโดยการแยกกันอยู่มากกว่า ด้วยสาเหตุหลัก คือ ด้วยสภาพทางสังคม หน้าที่การงานที่รับผิดชอบในด้านต่างๆ รวมทั้งความเป็นอิสระในการใช้ชีวิตละพฤติกรรมส่วนตัวของชายรักร่วมเพศ และยังคมยอมรับสภาพการใช้ชีวิตคู่ที่ต้องอยู่ร่วมกันอย่างเปิดเผยไม่ได้ ซึ่งมองถึง ผลกระทบที่ต้องเกิดขึ้นตามมา เช่น เกิดความเบื่อและทะเลาะกันบ่อย จนไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากันได้ เครียด กังวนใจ หรือกลัวการนอกใจ หรือผลกระทบจากรอบข้าง หรือจากครอบครัวที่ไม่ยอมรับเรื่องการมีคู่เป็นชายซึ่งเป็นการที่ตระหนักถึง การแสวงหาความสุขที่ตนต้องการ โดยที่ไม่ส่งผลที่เดือดร้อน หรือสร้างความทุกข์ให้แก่ครอบครัวและสังคม โดยมองจากประเด็น ประโยชน์สุขกับสังคม ที่ถือว่า การทำให้เกิดความสุขมากที่สุดแก่คนจำนวนมากเป็นหน้าที่ที่ควรปฏิบัติ เพราะมนุษย์ต้องการสังคม จึงไม่ควรทำสิ่งที่เกิดความทุกข์ ความไม่ดีให้แก่สังคม
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่คิด : "พี่เคยใช้ชีวิตคู่กับแฟนพี่มาก่อน(ผู้ชาย)ที่จะบอกให้แม่พี่ทราบว่าพี่เป็น กระเทย เพราะแม่พี่ขอร้องไว้ ว่ายอมรับได้ว่าเป็นกระเทย แต่อย่ามีแฟน(ซึ่งพี่ออกจะทำไม่ได้) ที่เลิกกันเพราะ แฟนพี่ขี้หึงมากๆ พี่เคยโดนซ้อมจนเกือบตายนะ เราทะเลาะกันในรถระหว่างไปเชียงราย แล้วเขาก็ถามพี่มาคำหนึ่งว่า "ตกลงจะเลิกกันใช่ไหม" พี่ไม่ได้ตอบเขา เขาโมโหชกหน้าพี่ แล้วก็หักรถชนกับต้นไม้ พี่ แขนหัก กระจกตาหลุด ส่วนแฟนพี่ไม่เป็นอะไรมาก แค่แผลถลอก เพราะเขาขาดเข้มขัดด้วย เขาบอกกับพี่ที่ข้างเตียงที่โรงพยาบาลว่า "น่าจะตายไปเสียเน่อะ" พี่กลัวมาก พอแม่พี่รู้ข่าวก็มาเยี่ยมพี่ที่โรงพยาบาลแล้วพี่ก็แอบย้ายโรงพยาบาลหนีเขา ตั้งแต่นั้นมาพี่ก็ไม่ติดต่อ และคอยหลบเขามาตลอด" " เราต้องรักและภูมใจ ในตัวเราเองก่อน ที่จะรักคนอื่นได้อย่างจริงใจ คุณค่าของตัวเราเอง เราเท่านั้นเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่คนอื่น"
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่ปอ : "วันหนึ่งเดือน กรกฎาคมปี 41 พี่ได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง ชื่อ ม. นั่งรอรถกลับบ้านสายเดียวกัน อยากรู้จักกับเขามากเพราะคิดว่าเขาคือคนที่พี่ตามหาแน่ๆ ได้เข้าไปทักทายทำความรู้จัก ตั้งแต่นั้นมาเราก็ติดต่อกัน ในที่สุดก็ตกลงย้ายมาอยู่ร่วมกัน ที่เชียงใหม่ที่บ้านของเขา ซึ่งมีความสุขมาก จนกระทั่งเขาจากไปโดยไม่มีวันกลับมาอีก ในช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงน้อยนิด แต่เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากในชีวิตของหนู เป็นสิ่งที่หนูภาคภูมิใจที่ที่ชีวิตของหนูได้ใช้ชีวิต ชายกับชาย มันแตกต่างกับหญิงมาก เมื่อเราเข้าใจกันก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขมาก "
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่แน็ก : "พี่ก็เคยคิดนะ แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่อยาก กลัวว่าถ้าอยู่ด้วยกันมากเกินไปจะทะเลาะกันแล้วก็เลิกกัน และก็คงไม่ถึงขั้นอยู่กินร่วมกัน เพราะแม่ก็ยังอยู่ ตอนนี้ถึงจะเปิดเผยตัวว่าเป็นกระเทยแล้ว แต่วาไม่ได้บอกให้ใครรู้ว่ามีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกันแล้ว เพราะกลัวแม่รับไม่ได้ ตอนนี้ก็คบกับแฟนแบบหลบๆซ่อนๆไปก่อน คุยกันทางโทรศัพท์ มีการนัดพบกันไปเที่ยวกันบ้าง กินข้าวบ้าง ไปหาความสุขด้วยกันบ้าง ก็รู้นะว่าที่เราทำมันเป้นความสุข ของเรา สิทธิของเรา แต่ก็ว่าอะนะ เราก็ต้องดู ความรู้สึกของครอบครัว และคนรอบๆข้างด้วย ไม่ใช่ว่าเราสุขอยู่แค่คนเดียว แต่คนอื่น รอบๆข้างเราเขามีความทุกข์ เราก็ไม่ทำ"
แนวคิดของชายรักร่วมเพศ ต่อความความสุข และแนวคิดในการดำรงชีวิต ต่อตนเอง สังคม และครอบครัว
จากประเด็น ว่าด้วยจุดมุ่งหมายสูงสุดของมนุษย์ การกระทำใดๆ ก็ตามย่อมมีจุดมุ่งหมาย และจุดมุ่งหมายที่ทุกคนปรารถนานั้นก็คือความสุข และความสุขนั้นต้องเป็นความสุขของคนส่วนรวมด้วย ซึ่งจากที่ผู้ศึกษาได้ทำการศึกษานั้น ในแนวคิดของชายรักร่วมเพศนั้น ความสุขในแนวคิดของเขาก็ถือว่า เป็นสิ่งที่เขาปรารถนาสูงสุดด้วยเช่นกัน แต่ในความสุขที่ กลุ่มชายรักร่วมเพศนั้นต้องการ ก็มีความทุกข์เจือปนอยู่ด้วย ทั้ง การไม่ยอมรับจากสังคม คนรอบข้าง หรือแม้แต่ครอบครัวจากการให้สัมภาษณ์ของพี่ปอ : "ความสุขของพี่คือ การที่ชีวิตของพี่ได้รับการเติมเต็มจากสิ่งที่พี่ขาดหายไป มันก็คือความรักนั่นเอง พี่อาจจะขาด ความรักจากพ่อและแม่ที่จากไปแล้ว ความสุขน้อยนิดที่พี่ต้องการคือ ความสุขที่ชีวิตของพี่เองจะหยุดอยู่ที่คนๆหนึ่ง พี่ได้มี ชีวิตในช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นมาช่วงหนึ่งแล้ว แต่ตอนนี้มันจากพี่ไป อย่างที่ไม่มีวัน กลับคืนแล้ว ซึ่งความสุขของพี่จบลงแล้ว ตอนนี้ชีวิตที่เหลืออยู่ของพี่ก็คงจะขอทำอะไรดีๆ เพื่อมอบความสุขที่พี่สามารถ ทำให้คนอื่นได้ ดีกว่า พี่น่าจะสร้างความสุขที่ดีๆให้แก่คนอื่นๆได้ "
" ช่วงเวลาในการดำเนินชีวิต อาจจะเป็นอะไรไม่ง่ายนัก ทุกๆคนต้องสะดุดหกล้มกันทั้งนั้น อยู่ที่ใครจะเจออะไร กระเทยอย่าพี่ก็สะดุดเหมือนกัน บางคนล้ม แล้วลุกไม่ขึ้น ล้มเหลวอยู่อย่างนั้น บางคนก็ลุกขึ้นเดินต่อไปอย่างมุ่งมั่นและกล้าหาย พี่เองก็ยังคงเดินต่อไป แม้บาดแผลจากการหกล้ม ลุกคลุกคลาน จะทำให้เจ็บแสบซักเพียงใด แต่พี่ก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาพี่ได้เจอ เหตุการณ์หลายๆอย่าง ที่พี่ได้พบผ่านมา และอีกเหตุการณ์ตามกาลเวลา ความคิดของพี่ก็เริ่มโตขึ้น ดีขึ้น ถึงยังไม่สมบูรณ์แบบเต็มที่ แต่มันก็นับว่าดี กว่าก่อนมา ณ เวลานี้ที่นี่ พี่ได้รับความเชื่อมั่น ความภาคภูมิใจ ความสดชื่นร่าเริงกลับคืนมา และสัมผัสได้ถึงคุณค่าของตัวเองที่พี่เคยลืมไปแล้ว อีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้พี่จะไม่ปล่อยให้มันหายไปอีก "
"บางที่จุดมุงหมาย หรือเป้าหมายสูงสุดของพี่อาจจะไม่ใช่ ความสุขก็ได้ แค่รักที่ไม่ต้องครอบครอง บางอย่าแค่ เซ็กซ์ อย่างเดียวก็พอ และการได้มี เซ็กซ์ กับคนที่เรารัก มันก็เป็นจุดมุ่งหมายหนึ่งในชีวิต พี่เลย"
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่แน็ก : "อย่างที่ว่าใครๆก็อยากมีความสุขกันทั้งนั้น แต่พี่บอกแล้วว่าชีวิตพี่ ทั้งความสุขและความทุกข์มันเข้ามาพร้อมๆกัน เลือกไม่ได้ พี่มีความสุขเมื่ออยู่กับแฟนพี่ พี่มีความสุขเมื่อพี่ได้แสดงออกซึ่งตัวตนของพี่ แต่สิ่งที่พี่มีความสุขเหล่านี้ มันคือ ทุกข์ของคนอื่น ก็คือ แม่พี่ พี่ก็ต้องเลือกนะว่าพี่จะทำตามความสุขของพี่ หือทำตามความสุข ความสบายใจของแม่พี่ แต่ตอนนี้เรื่องความสุขของพี่มันได้เปลี่ยนแล้ว ความสุขของพี่ตอนนี้คือ การที่พี่กับแม่พี่ได้ถมช่องว่างที่เราไม่รู้จักหายไปหมดแล้ว ตอนนี้อะไรที่เป็นความสุขของแม่มันก็คือความสุขของพี่"
จากการให้สัมภาษณ์ของพี่คิด : "ความสุข ใครก็อยากมี ทุกๆวันนี้พี่มีความสุขดี ดีอย่างที่ไม่เคยมี มีแม่ที่พี่สามารถพูดคุยได้ทุกอย่าง รักและเป็นห่วงพี่ ทุกอย่างนี้พี่ว่า ความสุขพี่มันเต็มแล้ว แต่ถ้าจะให้พี่สุดที่สุดซึ่งอาจจะเป็นไปไม่ได้แต่ก็อย่างว่านะ ขอหวังซักหน่อย การที่คนอื่นๆอย่าเข้าใจพี่ และมองพวกอย่าพี่(ชายรักร่วมเพศ)ผิดๆ หรือด้วยสายตาที่มันแสดงออกถึงความรังเกลียดขนาดนั้น พี่แค่อยากจะของสักครั้งได้ไหมที่พี่จะเดินร่วมกับคนในสังคมๆอย่างที่พี่ก็ เป็นคนในสังคมนั้น จริงๆ ไม่ต้องตายอย่างโดดเดี่ยวก็พอ"
"การที่เราคนเราต้องการความสุขนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ เราต้องการความสุข ปฏิเสธความทุกข์ มันเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าเราต้องคำนึงด้วยว่าความสุขของเรามัน ไปก่อให้เกิดความทุกข์กับใครบ้าง คนที่เราแคร์หรือเปล่า จะมีความสุขได้ไม่เพียงสุขแค่เรา เราต้องคิดถึงคนอื่นด้วย ถ้าพี่จะพูดว่าความสุขของพี่คือการเสียสละ ให้แก่คนรอบๆข้าง หล่ะ ตลกไหม ? "
สรุปและเสนอแนะ
การศึกษาเรื่อง การศึกษาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ในครอบครัวของผู้ที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศตาม ทฤษฎีประโยชน์สุขนิยม ของ จอห์น สจ๊วตมิลล์ สรุปผลการศึกษาได้ดังนี้วัตถุประสงค์ของการศึกษา
1.เพื่อศึกษาทฤษฎี ประโยชน์สุขนิยมของจอห์น สจ๊วต มิลล์ 2.เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ในครอบครัวของผู้มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ
วิธีดำเนินการวิจัย
1.ประชากร ประชากรที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ คือ ชายรักร่วมเพศที่มีพฤติกรรมเปิดเผย ที่เรียกว่ากระเทย จำนวน 3 คน ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมเป็นชายรักร่วมเพศที่มารักษาในโรงพยาบาลสวน ปรุง 2.กลุ่มตัวอย่าง ผู้ศึกษาเลือกกลุ่มตัวอย่าง โดยวิธีสุ่มแบบเจาะจง ซึ่งมีขั้นตอน โดยผู้ศึกษาได้เข้าสู่กลุ่มเป้าหมาย โดยผ่านทางแพทย์ที่ทำการบำบัดผู้ป่วย เพื่อขอความร่วมมือในการให้ข้อมูล ทั้ง 3 คน 3.เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ที่เกี่ยวกับ สถานภาพ ความสัมพันธ์ในครอบครัว รวมถึงทัศนคติ ความสุข เกี่ยวกับการเป็นรักร่วมเพศของตนและสังคม
สรุปผลการวิจัย 1.ผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อศึกษาสถานภาพ ส่วนบุคคลของชายรักร่วมเพศ สรุปได้ดังนี้
1.1 อายุ ของชายรักร่วมเพศที่มีพฤติกรรมเปิดเผย มีอายุ เฉลี่ย 27.5 ปี 1.2 ระดับการศึกษา ชายรักร่วมที่มีพฤติกรรมเปิดเผย ระดับการศึกษา ที่พบคือ อยู่ในระดับอุดมศึกษา 2 คน และอีก1 คน การศึกษาในระดับประถมศึกษาปีที่ 4 1.3 อาชีพ ชายรักร่วมเพศที่มีพฤติกรรมเปิดเผย ประกอบอาชีพ ทำงานบริษัทเอกชน 2 คน ส่วนอีก 1 คนทำงานบริการ ในบาร์แห่งหนึ่ง ในย่านท่าแพ (นามสมมุติ) 1.4 รายได้ ชายรักร่วมเพศที่มีพฤติกรรมเปิดเผย ซึ่งรายได้จะเป็นผลสืบเนื่องมาจากอาชีพ ชายรักร่วมเพศที่มีพฤติกรรมเปิดเผย จำนวน 2 คนที่ประกอบอาชีพ ทำงานบริษัทเอกชน มีรายได้ต่อเดือนประมาณ 10,000-12,000 บาท ส่วนอีก 1 คนประกอบอาชีพบริการ รายได้ค่อนข้างต่ำ ประมาณ 2,500 ต่อเดือน จึงทำให้มีการขายบริการทางเพศเป็นรายได้เสริม 1.5 ข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัว ชายรักร่วมเพศที่มีพฤติกรรมเปิดเผยที่ไดศึกษาทั้งหมด 3 คน มาจากครอบครัวที่บิดามารดาหย่าร้างกัน และบิดามารดาเสียชีวิต 1.6 สถานภาพสมรส ชายรักร่วมเพศที่มีพฤติกรรมเปิดเผยที่ศึกษาทั้งหมดทั้ง 3 คน อยู่เป็นโสด 1.7 ที่อยู่อาศัย ชายรักร่วมเพศที่มีพฤติกรรมเปิดเผยจำนวน 2 คน อาศัยอยู่กับมารดา ส่วนอีก 1 คนอาศัยอยู่ โดยการเช่าหอพักอาศัยอยู่ตามลำพัง
2..ผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อศึกษาพัฒนาการเพศสำนึกและเพศสัมพันธ์ สรุปได้ดังนี้ สำนึกทางเพศ ชัดเจนว่าจะมีแฟน หรือคู่ครองเป็นชายเท่านั้น โดยเฉพาะผู้ที่มีลักษณะแบบชายแท้ ท่าทางเข็มแข็ง นิยมมีเพศสัมพันธ์ เฉพาะบทบาทรับเท่านั้น ทั้งสำนึกทางเพศและพฤติกรรมทางเพศเป็นลักษณะของผู้หญิง ความสัมพันธ์นี้เป็นสถานการณ์ที่สร้าง ความสัมพันธ์แบบคู่ขา เพื่อนหรือเพื่อนสนิท และแบบคู่ครอง จะมีความแตกต่างคือ ความผูกพันทางใจจะน้อย การมีเพศสัมพันธ์ เป็นพฤติกรรมที่นำไปสู่ การเริ่มรู้จักกันหรืออาจ กล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า เพศสัมพันธ์เป็นวิธีการเรียนรู้กันและกันว่า จะคบกันต่อไปหรือไม่ ลักษณะเช่นนี้น่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก หรือไม่มีเลยในสังคมต่างเพศ จึงน่าจะเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่ง ของสังคมชายรักร่วมเพศ
3.ผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อศึกษาบริบทสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเริ่มความสัมพันธ์ทางสังคม และทางเพศ สรุปได้ดังนี้ จากการศึกษาพบว่า มีบริบททางสังคมหลายๆอย่างที่เอื้อต่อ สังคมชายรักร่วมเพศมาก อุตสาหกรรมบันเทิงก็เกิดเพื่อ ตอบสนองความต้องการ การแสวงหาความพอใจทางเพศ ซึ่ง จะเป็นธุรกิจหาผลกำไร จึงมีการแข่งขันกัน และมีผลประโยชน์เป็นตัวผลักดัน ทำให้เกิดสถานที่และบริการที่ตอบสนอง ความต้องการสารพัดรูปแบบ รวมทั้งความต้องการทางเพศด้วย
ระบบสื่อโทรคมนาคม แหล่งบันเทิง และกลุ่มเพื่อน ทำให้เกิดการถ่ายทอด ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ความเชื่อ ทำให้เกิดการรับรู้มากขึ้น แสดงให้เห็นว่าเกิดแรงชกจูงและแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเพศสำนึก จะเพิ่มขึ้นรวดเร็ว อาจทำให้สังคมชายรักร่วมเพศ ขยายตัวเร็วขึ้น หากสังคมยังไม่ยอมรับ ก็จะเกิดแรงกดดันให้กับกลุ่ม ชายรักร่วมเพศ เพราะไม่สามารถที่จะดำเนินชีวิตตามปกติตามเพศสำนึกของตนได้ จะผลักดันให้กลุ่มชายรักร่วมเพศ แสวงหากลุ่มเพื่อน และสังคมที่มีเพศสำนึกเหมือนกัน เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ ใช้สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เกิดการขยายตัวทาง อุตสากรรมบันเทิงที่ไม่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้เกิดความสัมพันธ์และพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในกลุ่มชายรักร่วมเพศ ได้
4. จากการศึกษา ลักษณะความสัมพันธ์ของสมาชิกภายในครอบครัว สรุปได้ดังนี้ จากการศึกษาพบว่า ความสัมพันธ์ของบุตร กับบิดามารดามีผลต่อการสำนึกทางเพศ รวมทั้งความเข้าใจในบทบาททางเพศที่ผิด มีส่วนอย่างมากในการเกิดการเรียนรู้พฤติกรรมทางเพศที่เบี่ยงเบน ความใกล้ชิดสนิทกันตั้งแต่วัยเยาว์ บ่งถึงความสัมพันธ์ทางใจ ที่สมาชิกในครอบครัวมีต่อกัน ความผูกพันนี้จะเป็นพื้นฐาน ที่ช่วยทำให้ยอมรับความเป็นชยรักร่วมเพศ ในภายหลัง ซึ่งจาการศึกษาของชายรักร่วมเพศ ทั้ง 3 คนสมาชิกในครอบครัวในครอบครัว ได้มีการยอมรับในพฤติกรรมรักร่วมเพศได้ในระดับหนึ่ง เพื่อเป็นการคงอยู่ไว้ซึ่งความเป็นครอบครัว ที่ต้องยอมรับในความเป็น ความต้องการ และตัวตน ของสมาชิกในครอบครัว แต่การยอมรับในพฤติกรรมรักร่วมเพศนั้น ก็ไม่ได้มีการยอมรับหรือปฏิบัติได้ทุกอย่าง เป็นเพียงบางอย่างเท่านั้น ซึ่งการยอมรับ ก็จะเป็นมารดา เพราะด้วยความผูกพันกัน ระหว่างแม่กับลูกและความเป็นผู้หญิงที่มีความเหมือนหรือว่าเข้าใจกัน ซึ่งการจะยอมรับพฤติกรรมของชายรักร่วมเพศที่แสดงออกมา ในแต่ละสถานการณ์ ก็จะมีการยอมรับได้เป็นบางส่วนที่เห็นว่าดีหรือสมควรปฏิบัติได้ หรือ พฤติกรรมไหนที่ไม่ดี ไม่สมควรที่จะปฏิบัติ โดยจากการตัดสิน ความคิดเห็นของสมาชิกในครอบครัวร่วมกัน โดยต้องถือเป็นข้อตกลงที่ต้องมีการปฏิบัติตาม เพราะเป็นการถือว่า ได้ต่างฝ่ายต่างยอมรับกันได้ในพฤติกรรมชายรักร่วมเพศแล้ว ก็ต้องยอมรับในข้อตกลงเกี่ยวกับพฤติกรรมบางอย่างที่สมาชิกในครอบครัวเห็นว่า สมควร หรือไม่สมควรในการปฏิบัติด้วย การตัดสินพฤติกรรมใดที่ถูกหรือผิด สมควรทำหรือไม่สมควรทำนั้นคือตัดสินที่ความสุขเมื่อต่างฝ่ายต่างมีความสุข ที่ตรงกันข้ามกัน สิ่งที่จะใช้ในการตัดสินก็คือ หลักมหสุข โดยความสุขส่วนตัวต้องสอดคล้องกับ ความสุขส่วนรวม เพื่อเป็นแนวทางที่สามารถที่จะ อยู่ร่วมกันและดำรงความเป็นครอบครัวไว้ได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่ากลุ่มรักร่วมเพศ จะถูกตัดสินไปแล้ว โดยที่พวกเขาไม่มีทางเลือก สิ่งที่ชายรักร่วมเพศ จากที่ได้ศึกษา จะเห็นได้ว่า ครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขา ความสุขของสมาชิกในครอบครัว ก็คือความสุข หรือการเสียสละความสุขของตนเองเพื่อความสุขของคนในครอบครัว ซึ่งมันขัดกับการนับในส่วนความสุขของตนให้เท่ากับความสุขคนอื่น แต่ในความเป็นจริงหลักมหสุข ที่ใช้ในการตัดสิน ความดี-ชั่ว ,ควรทำ-ไม่ควรทำนี้ มันไม่พอที่จะใช้ตัดสินการกระทำ พฤติกรรมของชายรักร่วมเพศ
5.แนวคิดของชายรักร่วมเพศ ต่อความความสุข และแนวคิดในการดำรงชีวิต ต่อตนเอง สังคม และครอบครัว สรุปได้ดังนี้ จาการศึกษาพบว่า กลุ่มชายรักร่วมเพศที่ศึกษานั้น คิดว่าตนเองเป็นสิ่งที่ไม่ปกติในสังคม เป็นสิ่งที่แปลกแยกจากสังคม ความสุขที่เป็นเป้าหมายของพวกชายรักร่วมเพศนี้คือ การที่มีคนยอมรับในสิ่งที่พวกเขาเป็น และครอบครัวก็คือ สิ่งที่ชายรักร่วมเพศ ให้ความสำคัญมากที่สุด ชายรักร่วมเพศก็มีความต้องการ เป้าหมาย เหมือนกับ ชาย หญิง ทั่วๆไป เกี่ยวกับการดำเนินชีวิต การมีความรักและการใช้ชีวิตคู่ แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ ความต้องการของกลุ่มชายรักร่วมเพศ คือความต้องการที่ สังคม เห็นว่ามันผิดและเบี่ยงเบน และกลุ่มชายรักร่วมเพศก็รู้และสามารถตระหนักถึง ความผิดที่พวกเขาเป็น แนวคิดต่อความสุขและแนวทางการดำรงชีวิต ของตนเอง ก็ย่อมที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามความถูกต้อง หรือความดีที่สังคมกำหนดไว้ จากกลุ่มชายรักร่วมเพศที่ศึกษา ทั้งหมดเห็นว่า ความสุขของพวกเขาคือ การเสียสละความสุข ของพวกเขาเอง เพื่อความสุขของคนกลุ่มใหญ่ในสังคม หรือแม้แต่คนในครอบครัวของตนเองก็ตาม ซึ่งถ้ามองตามประเด็น ของทฤษฏีประโยชน์นิยม สิ่งที่กลุ่มชายรักร่วมเพศเหล่านี้ ได้เสียสละตนเองไปนั้น มันไม่ได้เป็นเรื่องสูญเปล่า แต่เป็นความสุขของคนหมู่มาก แต่ความสุขที่เขาสมควรได้รับมันต้องเสียสละเพื่อผู้อื่น ก็ถือว่าเหรียญบาทในมือของกลุ่มชายรักร่วมเพศที่พวกเขามองเห็น มันกลับกลายเป็นเหรียญราคาห้าสิบสตางค์ เมื่ออยู่ในมือของพวกเขา การตัดสินพฤติกรรมของชายรักร่วมเพศนี้ ว่าถูก-ผิด,ดี-ชั่ว,สมควร-ไม่สมควร ตามหลักประโยชน์นิยม ซึ่งมิลล์ ใช้หลักมหสุขเป็นเกณฑ์ตัดสินการกระทำทั้งหมดของมนุษย์ ถือว่าความสุขเท่านั้นที่เป็นสิ่งที่น่าปรารถนาสูงสุดของมนุษย์เพียงสิ่ง เดียวนั้น เป็นไปไม่ได้ และเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะต้องการความสุขส่วนรวม เพราะการกระทำของแต่ละคนนั้น ก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อความสุขของตัวเอง เป็นสิ่งที่ดูจะเป็นอุดมการณ์จนเกินไป ในแง่ปฏิบัติ ในแง่ความเป็นจริงแล้ว ทุกคนไม่ได้เห็นแก่ส่วนรวมทุกคน ทุกอย่าง เพราะมนุษย์ ทุกคนก็ล้วนแต่มีความเห็นแก่ตัว และความสุขก็ไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่ทุกคนปรารถนาหรือเป็นจุดมุ่งหมายอัน เดียวในการดำรงชีวิต ความต้องการ และเป้าหมายของชีวิตบางอย่างนั้นก็ไม่ได้หวังผลแต่ความสุข แต่เป็นการกระทำเพราะอยากทำ และต้องการทำเท่านั้นเอง ไม่เพียงพอ ที่จะตัดสินว่าสิ่งไหน ถูก-ผิด,ดี-ชั่ว,สมควร-ไม่สมควร แค่เพียงความสุขเท่านั้น ควรที่จะคำนึงถึง เหตุผลของการกระทำนั้น รวมถึงวิธีการกระทำด้วย ว่าเกิดจากอะไร ว่าการที่คนๆหนึ่งกระทำอะไร สิ่งไหนก็ตาม สภาพจิตใจของผู้ที่กระทำจะเป็นอย่างไร เขามีความรู้สึกอย่างไรในใจ เขามีความรู้สึกของความรัก ความเมตตาหรือไม่ เขามีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง บางอย่างที่มนุษย์พึงมีต่อกันหรือไม่ และการกระทำก็ต้องคำนึงถึงเจตนาในการกระทำด้วย
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะทั่วไป
1.ควรเสริม ให้ชายรักร่วมเพศได้เห็นถึงความสำคัญในเรื่องของการศึกษา ซึ่งเป็นการเพิ่มคุณค่าชีวิตให้ดีขึ้น โดยการให้โอกาสและยอมรับชายรักร่วมเพศที่มีความคิดสร้างสรรค์ เกี่ยวกับการพัฒนา คิดค้น สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่อาจมีผลเอื้อต่อความเจริญของสังคมตั่งแต่จุดเล็กๆไปสู่สังคมโดยกว้าง ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ชายรักร่วมเพศได้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษาได้ นอกจากนั้นหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องควรให้ความสนใจ เน้นถึงวิธีการที่จะสั่งสอนปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนมีจิตสำนึก ถึงศีลธรรมจรรยาอันดีงามในสังคม 2.ควรส่งเสริม การให้ความรู้ด้านสุขภาพ พลานามัยให้แก่ชายรักร่วมเพศ พร้อมทั้งเผยแพร่วิธีการและปฏิบัติต่อชายรักร่วมเพศ หน่วยงานสาธารณะสุขควรเข้าไปสอดส่องดูแลอย่างใกล้ชิด และชี้แจงถึงอันตรายของการ สำส่อนทางเพศ ซึ่งเป็นภาหะอย่างหนึ่งของโรคเอดส์ 3.ควรส่งเสริม ปัจจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ภายในครอบครัว และสังคม เพื่อให้ชายรักร่วมเพศและเด็ก เติบโตมีบุคลิกภาพที่ดีเหมาะสม และสามารถอยู่ร่วมในสังคมได้โดยปกติสุข
ข้อเสนอแนะสำหรับการทำวิจัยครั้งต่อไป
1.การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเพียงกลุ่มของชายรักร่วมเพศที่เรียกว่า กะเทย เพียงกลุ่มเล็กๆ เพียงกลุ่มเดียวซึ่งไม่อาจ ใช้เป็นข้อมูลครอบคลุมถึงชายรักร่วมเพศทั้งหมดของสังคม ดังนั้นผลของการศึกษาที่ได้จึงอาจจะเป็นเพียงแง่มุมหนึ่งของชีวิตชายรักร่วม เพศ ที่สามารถค้นพบจากประชากรตัวอย่างซึ่งมีลักษณะร่วมกันเท่านั้นเอง ซึ่งหากจะศึกษาในกลุ่มของชายรักร่วมเพศที่มีธรรมชาติและคุณลักษณะ แตกต่างกันออกไป จากการศึกษาครั้งนี้ อาจทำให้พบข้อสรุปที่น่าสนใจในประเด็นอื่นๆอีกด้วย 2.การศึกษาครั้งนี้เป็นเพียงการศึกษา ทฤษฎีประโยชน์สุขนิยมของจอห์น สจ๊วต มิลล์ เท่านั้น 3.ปรัชญาประโยชน์สุขนิยมของจอห์น สจ๊วต มิลล์ มีความสอดคล้องกับคำสอนในพุทธศาสนา ในบางแง่มุมควรจะมีการศึกษาเปรียบเทียบ ระหว่างแนวคิดทั้งสอง เพื่อประโยชน์ที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป 4. กลุ่มประชากรที่ศึกษา นอกจากกลุ่มประชากรที่ศึกษาแล้ว กลุ่มตัวอย่างอื่นๆที่น่าสนใจศึกษาได้แก่ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่ต้องพักในหอพักประจำโรงเรียน มหาวิทยาลัย กลุ่มพลทหารที่อยู่ในค่ายต่างๆ หรือชายรักร่วมเพศที่อยู่ในเขตอื่นๆเป็นต้น ความคิดเห็นต่อชายรักร่วมเพศเฉพาะด้าน การยอมรับในการประกอบอาชีพ การยอมรับในสังคม ความยุติธรรมที่ได้รับ หรือปัจจัยด้านสังคมอื่นๆ 5. นอกเหนือจากภาวะเงื่อนไขต่างๆของชายรักร่วมเพศมาได้เสนอ หากได้มีการศึกษาให้ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น อาจจะทราบถึงเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆ ที่สามารถนำมาอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเพิ่มเติม ตลอดจนการศึกษาถึงกระบวนการการกลายเป็นชายรักร่วมเพศว่ามีขั้นตอนอย่างไร หรือมีอิทธิพลและจุดหักเหอย่างไรบ้างต่อชายรักร่วมเพศ ทั้งนี้เพื่อความสมบูรณ์ที่สุดของการศึกษา
http://th.uncyclopedia.info/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)