ต้นกำเนิดวันแม่ ทำอะไรให้แม่ดี

วันแม่ ทำอะไรให้แม่ดีนะ

คมชัดลึก :
 
ในสังคมโลก "วันแม่" เกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2457
ที่สหรัฐอเมริกา
เมื่อคุณครูผู้หญิงคนหนึ่งลุกขึ้นมาเสนอให้มีวันแม่ขึ้นอย่างเป็นทางการ
ซึ่งบรรลุความสำเร็จเมื่อประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน
ได้ประกาศให้ทุกวันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคมเป็น "วันแม่แห่งชาติ"
และมีดอกคาร์เนชั่นที่มีหน้าตาคล้ายๆ ดอกมะลิซ้อนบ้านเราเป็นสัญลักษณ์
แถมยังมีการแบ่งสีเอาไว้ด้วยว่ากรณีที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ใช้ดอกคาร์เนชั่นสีชมพู
แต่ถ้าคุณแม่เสียชีวิตไปแล้วเขาจะใช้ดอกคาร์เนชั่นสีขาว

ในบ้านเราประกาศให้มีวันแม่ตั้งแต่ พ.ศ.2493 โดยรัฐบาลจอมพลป.
พิบูลสงคราม กำหนดให้ทุกวันที่ 15 เมษายนของทุกปีเป็นวันแม่
และต่อมาได้เปลี่ยนเป็นวันที่ 12 สิงหาคม หรือวันเฉลิมพระชนมพรรษา
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็น "วันแม่แห่งชาติ" ตั้งแต่ พ.ศ.
2519 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยระบุให้ดอกมะลิที่มีสีขาวบริสุทธิ์
มีกลิ่นหอมเย็นชื่นใจและหอมนาน เป็นดอกไม้สัญลักษณ์

สมัยก่อนเวลาพูดถึงวันแม่
ผู้คนส่วนใหญ่มักน้อมรำลึกถึงสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
เป็นสำคัญ นึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อปวงราษฎรของพระองค์
นึกถึงภาพที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปตามท้องถิ่นต่างๆ
พร้อมกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดเวลา
นึกถึงภาพงานเฉลิมฉลองที่มีหน่วยราชการต่างๆ
พร้อมใจกันจัดขึ้นอย่างสนุกสนาน ครึกครื้น ด้วยมหรสพมากมาย
ซึ่งคนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำมาหากินในกรุงเทพฯ
ก็มักถือเป็นโอกาสได้กลับไปเยี่ยมครอบครัว เยี่ยมพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย
ที่บ้านเกิด
ซึ่งก็ส่งผลให้วัดวาอารามตามหัวเมืองถือเป็นโอกาสพิเศษจัดงานเฉลิมฉลอง
เชิญชวนคนไปทำบุญได้อีกวาระหนึ่ง

เดี๋ยวนี้ คำว่าวันแม่ดูจะขยายวงกว้างออกไป
คือนอกเหนือจากกิจกรรมเพื่อเทิดพระเกียรติพระแม่แห่งแผ่นดิน
ซึ่งยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องแล้ว
เรายังมีกิจกรรมเพื่อแม่ของประชาชนแต่ละคนด้วย ดังนั้น
วันแม่สมัยนี้เราจึงเห็นภาพกิจกรรมภายในครอบครัวรูปแบบต่างๆ
ที่ลูกๆแสดงออกถึงความรัก ความกตัญญูที่มีต่อแม่บังเกิดเกล้า

กิจกรรมยอดนิยมในอันดับต้นๆ น่าจะเป็นการพาแม่ไปเที่ยว
เพราะบางครอบครัวลูกกับแม่อาจไม่ค่อยไปเที่ยวด้วยกันบ่อยนัก
การพาแม่ไปทานอาหารนอกบ้าน เป็นมื้อพิเศษตามฐานะ
ซึ่งไม่จำเป็นต้องแพงหรือหรูหรา แต่อย่างน้อยก็น่าจะแปลกๆ หน่อย
พาแม่ไปเสริมสวย ไปนวดตัวนวดหน้า ทำสปา
ก็น่าจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะด้วยสัญชาตญาณของความเป็นผู้หญิง
แม้แม่หลายคนจะสูงวัยแล้ว
แต่ก็เชื่อว่าความรักสวยรักงามน่าจะยังคงมีอยู่ในใจ

พาแม่ไปทำบุญก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แม่บางคนแก่แล้ว
โอกาสจะไปทำบุญแต่ละครั้งค่อนข้างยาก ไม่มีคนพาไปบ้าง
หรือแม่บางคนเดินเหินไม่ค่อยสะดวกแล้วไปเองไม่ได้
หรือวัดที่อยากไปอยู่ไกลบ้าน
ก็น่าจะถือโอกาสนี้เป็นจังหวะดีที่จะได้ทำบุญร่วมกันทั้งครอบครัว
เผื่อชาติหน้าจะได้เกิดมาเป็นแม่ลูกกันอีก

พูดถึงเรื่องบุญกรรมคนสมัยใหม่อ่านเจอเข้าก็คงขำๆ มองเป็นเรื่องเหลวไหล
เพ้อเจ้อ โบราณ ไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ แต่น่าแปลกที่เพื่อนๆ
หลายคนที่จบมาทางวิทยาศาสตร์ เป็นวิศวกร เป็นหมอ
กลับทำบุญอย่างเอาจริงเอาจัง
แถมคอยบอกผมเสมอว่าเวรกรรมและบาปบุญนั้นมีจริง
แถมยุคนี้บาปบุญปรับตัวตามทันโลกแห่งยุคดิจิทัล
คือตามทันอย่างรวดเร็วราวกับออนไลน์ ไม่เชื่อก็ลองดูได้

อีกวิธีที่ที่น่าสนใจคือการนัดกันในหมู่พี่ๆ น้องๆ
ยกขบวนกันไปกราบแม่ที่บ้านเดิม อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เอาดอกมะลิไปไหว้
เอาของขวัญไปมอบ หาขนมอร่อยๆ ที่แม่ชอบทาน เสื้อผ้าแนวที่แม่ชอบใส่ไปให้
ซึ่งเรามักได้ยินประโยคที่คล้ายๆ กันจากปากแม่ทุกๆ คนเสมอว่า
ไม่ต้องซื้อหาอะไรมาให้แม่หรอก เปลืองตังค์เปล่าๆ เก็บเงินไว้ใช้เถอะนะ
ขอแค่โทรมาให้แม่ได้ยินเสียงบ่อยๆ หรือแวะมาหาแม่บ้าง
แค่นี้แม่ก็มีความสุขเกินพอแล้ว

วันแม่ ลูกอย่างคุณเตรียมตัวจะทำอะไรให้แม่แล้วหรือยัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น