แนวนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองหนึ่งของกลุ่มคณะคริสตจักรในประเทศไทย ปี 2010

บทนำ

พระเจ้าทรงนำมิชชันนารีที่ตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระองค์ให้เข้ามาประกาศข่าวประเสริฐ และตั้งคริสตจักรบนผืนแผ่นดินไทยตั้งแต่ปี ค.ศ. 1828 เป็นต้นมา พระองค์ทรงสถาปนาคริสตจักรและอวยพรให้เจริญก้าวหน้าทั้งปริมาณและคุณภาพของบุคลากรในด้านต่างๆ จัดตั้งหน่วยงานและสถาบันต่างๆ เพื่อทำพันธกิจและประกาศพระกิตติคุณ จนกระทั่งคริสตจักรได้เจริญเติบโตมีผู้รับเชื่อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้คริสตจักรเป็นแหล่งแห่งพระพรและทำพันธกิจตามพระประสงค์ของพระเจ้า หน่วยงานและสถาบันมีความเจริญก้าวหน้า มีความมั่นคงทางการเงิน มีศักยภาพในการทำพันธกิจอย่างเกิดผล และได้รับการยอมรับในสังคมไทย ต่อมา เมื่อคริสตจักรไทยมีความเข้มแข็งและมีบุคลากรที่มีคุณภาพ จึงได้ร่วมกันจัดตั้งองค์กรXXXXในประเทศไทยขึ้น ใน ปี ค.ศ.1934 เพื่อทำพันธกิจบนหลักการของ การเลี้ยงตนเอง การปกครองตนเอง และการประกาศพระกิตติคุณด้วยตนเอง องค์กรXXXXในประเทศไทยจึงเป็นศูนย์รวมในการทำพันธกิจด้านต่างๆ ในประเทศไทย ได้แก่ การประกาศพระกิตติคุณ การสร้างคริสตจักร การอภิบาลฟูมฟักมวลสมาชิกให้มีความเชื่ออย่างมั่นคง การเสริมความรู้ทางพระคัมภีร์ การรักษาพยาบาล และการศึกษา เป็นต้น (มธ. 28:18-20 , กจ. 1:8 . มธ. 9:35-36 ; ลก. 4:18-19 ; ยน. 10:10 ) ทั้งนี้ โดยไม่ทอดทิ้งพันธกิจด้านการพัฒนาสังคม การบรรเทาทุกข์และการสงเคราะห์ในรูปแบบต่าง ๆ

พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้องค์กรXXXXในประเทศไทยเป็นพันธกรในประกาศพระกิตติคุณ และสำแดงความรักของพระองค์ให้ประจักษ์ เพราะพระองค์เสด็จเข้ามาในโลกเพื่อช่วยทุกคนให้รอด ทรงเป็นข่าวดีในการเสริมสร้างชีวิตที่ครบบริบูรณ์แก่ทุกคน ทรงเป็นพลังให้ผู้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์มีความหวังในการดำเนินชีวิตติดตามพระองค์ และได้รับของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการทำพันธกิจตามพระประสงค์ของพระองค์ พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังพระเจ้ากระทั่งความมรณาที่กางเขน (ฟิลิปปี 2:5-8 )

ดังนั้น การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์จึงเป็นแบบอย่างของความรักและการเสียสละด้วยการเชื่อฟังพระเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข และการคืนพระชนม์ของพระองค์เป็นพระสัญญานิรันดร์ให้เรามีความเชื่อมั่นในการทำพันธกิจรับใช้ตามพระมหาบัญชาของพระองค์ (มธ. 28: 18-20) พระสัญญานี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นรากฐานแห่งความเชื่อขององค์กรXXXXในประเทศไทย ในการทำพันธกิจแห่งการช่วยให้รอดด้วยความสัตย์ซื่อ ทั้งด้านการประกาศพระกิตติคุณ การปลูกและสร้างคริสตจักรให้มีสง่าราศี การอภิบาลดูแลผู้เชื่อให้ติดสนิทกับพระคริสต์ และร่วมกันสรรค์สร้างชุมชนให้มีความเชื่อ ความหวัง ความรัก และการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อทุกคนจะเป็นประชากรของพระเจ้า เพื่อสร้างชุมชนแห่งความเชื่อ และดำรงชีวิตร่วมกันอย่างมีสันติสุขในแผ่นดินของพระองค์

วิสัยทัศน์

องค์กรXXXXในประเทศไทยทำพันธกิจบนรากฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้า โดยการประกาศพระกิตติคุณ การสร้างคริสตจักรที่มีสง่าราศี และสร้างสรรค์สังคมที่มีสันติสุข

นโยบายหลัก

องค์กรXXXXในประเทศไทยมีพันธกิจหลักในการสร้างคริสตจักรให้มีสง่าราศี โดยสำแดงพระคุณความรักของพระเยซูคริสต์และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการทำพันธกิจ เปิดโอกาสให้ทุกคนใช้ของประทาน ตะลันต์และความสามารถจากพระเจ้าในการรับใช้ด้วยความสัตย์ซื่อ สนับสนุนส่งเสริมให้คริสตจักร หน่วยงานและสถาบันทำพันธกิจร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ เป็นแหล่งแห่งพระพรที่หลั่งไหลไปสู่ผู้คน ชุมชนและสังคม เพื่อขับเคลื่อนการทำพันธกิจขององค์กรXXXXฯ ใน 4 ปีข้างหน้า (ค.ศ. 2011-2014) จึงขอเสนอนโยบายหลัก 6 ด้าน ดังต่อไปนี้

1. นโยบายด้านการประกาศพระกิตติคุณ การอภิบาลและสวัสดิการผู้รับใช้

ส่งเสริมและสนับสนุนให้คริสตจักรทุกระดับ รวมทั้งหน่วยงานและสถาบันขององค์กรXXXXในประเทศไทย ทำพันธกิจการประกาศพระกิตติคุณ การศึกษาพระคัมภีร์ การเพิ่มพูนความเชื่อ และการอภิบาลสมาชิกคริสตจักรและผู้เชื่อใหม่ให้มีความเชื่อที่เข้มแข็งและดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า อีกทั้งจัดสรรสวัสดิการอย่างเหมาะสมให้แก่ผู้รับใช้พระเจ้าในทุกระดับ

1.1 พันธกิจด้านคริสตศาสนศึกษา
? พัฒนาหลักสูตรศาสนศึกษาของสถาบันศาสนศาสตร์ขององค์กรXXXXในประเทศไทย
? สนับสนุน ยกระดับและรับรองสถาบันพระคริสตธรรมชนเผ่าที่สังกัดองค์กรXXXXในประเทศไทย
? พัฒนาหลักสูตรประกาศณียบัตรศาสนศึกษาระดับผู้นำคริสตจักรท้องถิ่น
? พัฒนาผู้สอนศาสนศาสตร์ในสถาบันศาสนศาสตร์ขององค์กรXXXXในประเทศไทย
? สนับสนุนทุนการศึกษาแก่นักศึกษาศาสนศาสตร์ที่ศึกษาอยู่ในสถาบันที่สังกัดองค์กรXXXXในประเทศไทย

1.2 พันธกิจด้านการประกาศพระกิตติคุณ
? ส่งเสริมสนับสนุนการปลูกสร้างคริสตจักร (Church Planting)
? จัดตั้งกองทุนขยายคริสตจักร
? จัดตั้งศูนย์เรียนรู้การประกาศพระกิตติคุณในภูมิภาค
? สนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณของคริสตจักรภาคและคริสตจักรท้องถิ่นอย่างจริงจัง
? สนับสนุนให้คริสตจักรภาคและคริสตจักรท้องถิ่นส่งมิชชันนารีทั้งในและต่างประเทศ

1.3 พันธกิจด้านการอภิบาล
? พัฒนาหลักสูตรอบรมศิษยาภิบาลและอภิบาลศิลป์
? เปิดหลักสูตรอภิบาลชนเผ่า
? ยกระดับสถานภาพและสวัสดิการผู้อภิบาลคริสตจักรชนเผ่า
? พัฒนาหลักสูตรคริสเตียนศึกษาสำหรับคริสตจักรและสถาบันขององค์กรXXXXในประเทศไทย
? จัดตั้งศูนย์อบรมคริสเตียนศึกษา

1.4 สวัสดิการผู้รับใช้
? ปรับปรุงแก้ไขโครงการคริสตจักรเลี้ยงตนเอง 1979 (2005) ในสัดส่วนที่เหมาะสม
? ปรับปรุงสวัสดิการรักษาพยาบาลครอบครัวผู้รับใช้
? จัดให้มีค่ายังชีพพิเศษสำหรับศิษยาภิบาล ผู้ช่วยศิษยาภิบาลและรักษาการศิษยาภิบาล
? จัดให้มีค่ายังชีพแก่คู่สมรสศิษยาภิบาลที่ว่างงาน
? ปรับปรุงหลักเกณฑ์เงินพิเศษหลังเกษียณแก่ศิษยาภิบาลและผู้รับใช้
? ยกสถานภาพผู้ประสานงานภาคและ/หรือผู้ช่วยผู้ประสานงานภาคเป็นบุคลากรประจำ

2. นโยบายด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการบริการชุมชน
ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตบุคคล คริสตจักรและชุมชนอย่างยั่งยืนทั้งฝ่ายร่างกาย จิตใจ สังคมและจิตวิญญาณ โดยการทำพันธกิจ ดังนี้

2.1 พันธกิจด้านการศึกษา
ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาทุกระดับให้มีคุณภาพสอดคล้องกับแผนการศึกษาชาติ และความต้องการของสังคม ให้สถาบันการศึกษามีความเข้มแข็งทางวิชาการและคริสต์จริยธรรมตามคำสอนและแบบอย่างของพระเยซูคริสต์ และเป็นช่องทางในการประกาศพระกิตติคุณแก่ผู้เรียน เปิดโอกาสทางการศึกษาแก่ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน รวมทั้งการให้โอกาสแก่ผู้ที่ด้อยโอกาสในสังคม เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ

พันธกิจ
? จัดทำตราสารให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน
? จัดระบบการบริหารจัดการโรงเรียนให้มีคุณภาพ
? พัฒนาศักยภาพอนุศาสกและบุคลากรศาสนกิจในสถาบันการศึกษา
? จัดตั้ง “สถาบันพัฒนาผู้นำ” ร่วมกับสถาบันอุดมศึกษาขององค์กรXXXXในประเทศไทย
? จัดสรรทุนการศึกษาในทุกระดับ (โครงการช้างเผือก) รวมทั้งการศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ปริญญาโทและปริญญาเอกทั้งในและต่างประเทศ (ในสาขาวิชาที่ขาดแคลน)
? แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ส่งต่อและการใช้ทรัพยากรร่วมกันของสถาบันการศึกษาทุกระดับ
? สนับสนุนทุนการศึกษาแก่บุตรศิษยาภิบาลจนถึงขั้นปริญญาตรี
? จัดตั้งกองทุนพิเศษสำหรับเด็กด้อยโอกาส
? จัดตั้งกองทุนพิเศษหลังเกษียนแก่สถาบันที่ไม่สามารถจัดตั้งกองทุนฯได้
? จัดการบริหารสถาบันการศึกษาแบบมีส่วนร่วมโดยใช้หลักธรรมาภิบาล
? สนัสนุนให้มีพันธกิจการดูแลนักเรียนคริสเตียนที่มาจากต่างถิ่นเพื่อให้มีที่พักที่ปลอดภัย
? สนับสนุนให้โรงเรียนขนาดเล็กสามารถทำพันธกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.2 พันธกิจด้านการรักษาและบริการสุขภาวะ

ส่งเสริมการบริการสุขภาวะแบบยั่งยืน กล่าวคือการเสริมสร้างสุขภาวะและคุณภาพชีวิต การป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ และการรักษาสุขภาพแบบองค์รวมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และความเข้มแข็งทางจิตวิญญาณของประชาชน ให้สถานพยาบาลทุกแห่งเป็นแหล่งการประกาศพระกิตติคุณ

พันธกิจ
? ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาด้านการรักษาพยาบาลสมัยใหม่
? พัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยและเพียงพอต่อการให้บริการอย่างมีคุณภาพ
? สร้างและพัฒนาบุคลกรคริสเตียนด้านการแพทย์และการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น
? ปรับปรุงระบบการบริหารจัดการและการบริการ
? จัดตั้งคลีนิคชุมชนคริสเตียนเคลื่อนที่และอาสาสมัครสาธารณสุข
? พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลในสังกัดองค์กรXXXXในประเทศไทยกับองค์กรภาครัฐและเอกชน
? สนับสนุนให้โรงพยาบาลขนาดเล็กสามารถทำพันธกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
? ศึกษาและพัฒนาการจัดตั้งสำนักงานพันธกิจการแพทย์
? พัฒนาศักยภาพของอนุศาสกและบุคลกรศาสนกิจในสถาบันการแพทย์
? จัดตั้งกองทุนพิเศษหลังเกษียณแก่สถาบันการแพทย์ที่ไม่สามารถจัดตั้งกองทุนฯได้

2.3 พันธกิจด้านการพัฒนาและบริการสังคม

ส่งเสริมให้คริสตจักรภาค และคริสตจักรท้องถิ่นสามารถพัฒนาตนเองและชุมชนให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืนบนหลักการเศรษฐกิจพอเพียง เพิ่มศักยภาพกลุ่มและองค์กรท้องถิ่นในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามของไทย ให้ความช่วยเหลือผู้ยากไร้ ปกป้องสิทธิมนุษยชน ตลอดจนอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่พระเจ้าทรงสร้าง

พันธกิจ
? อบรมและพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพของสมาชิกคริสตจักรในการพัฒนาและการบริการสังคม
? ส่งเสริมกลุ่มพัฒนาอาชีพและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในคริสตจักรและชุมชน
? ตั้งกองทุนพัฒนาอาชีพคริสตจักรภาค (หนึ่งภาค หนึ่งกองทุนพัฒนาอาชีพ)
? ตั้งศูนย์รวบรวมและจัดการด้านการตลาดเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของคริสตจักรท้องถิ่นทั้งในและต่างประเทศ
? ตั้งกองทุนบรรเทาทุกข์เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติและโรคติดต่อ
? สนับสนุนและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนและผู้ด้อยโอกาสในสังคม
? สนับสนุนการดำเนินการแก้ไขสถานะบุคคลของสมาชิกในคริสตจักรชนเผ่า

2.4 พันธกิจด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

พันธกิจ
? ส่งเสริมและขยายโอกาสให้บุคลากรคริสเตียนที่มีศักยภาพได้ร่วมทำพันธกิจในหน่วยงานและสถาบันขององค์กรXXXXฯ มากขี้น
? ส่งเสริมให้ทุกคริสตจักรภาคมีผู้ประสานงานสตรีและผู้ประสานงานอนุชน
? สนับสนุนการพัฒนาผู้ปกครองและมัคนายกของคริสตจักร
? จัดการศึกษาดูงานแก่ผู้นำคริสตจักรทั้งในและต่างประเทศอย่างเหมาะสม (เช่นอิสราเอล)
? ตั้งศูนย์พันธกิจเยาวชนภูมิภาค
? จัดโครงการศึกษาแลกเปลี่ยนสตรีและเยาวชนระหว่างประเทศ

3. นโยบายด้านการพัฒนาการเงินและทรัพย์สิน

ดำเนินการพัฒนาและส่งเสริมการพัฒนาการบริหารการเงิน และการพัฒนาทรัพย์สินขององค์กรXXXXในประเทศไทยให้ได้รับดอกผล และเกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อการทำพันธกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้า โดยยึดหลักการบริหารจัดการด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส มีคุณธรรม และตรวจสอบได้

3.1 พันธกิจด้านการบริหารการเงิน (เงินสดและเงินกองทุน)

พันธกิจ
? ดำเนินการให้เงินสดและเงินกองทุนมีจำนวนเพิ่มขึ้น และบริหารจัดการให้เกิดความมั่นคง ปลอดภัย และเกิดดอกผลสูงสุด เพื่อสนับสนุนการทำพันธกิจขององค์กรXXXXในประเทศไทย
? บริหารจัดการการใช้จ่ายเงินและดอกผลจากกองทุนต่าง ๆ ด้วยความประหยัด เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการทำพันธกิจ
? จัดทำงบประมาณด้วยการกระจายทรัพยากรสนับสนุนการทำพันธกิจของคริสตจักรภาค คริสตจักรท้องถิ่น ตลอดจนหน่วยงานต่าง ๆ ขององค์กรXXXXในประเทศไทยอย่างทั่วถึง
และต่อเนื่อง
? จัดงบประมาณเพื่อตั้งเป็นกองทุนสำหรับคริสตจักรภาค เพื่อส่งเสริมให้คริสตจักรภาคและ
คริสตจักรท้องถิ่นสามารถพัฒนาสู่การพึ่งตนเองได้

3.2 พันธกิจด้านการพัฒนาทรัพย์สิน (ที่ดิน อาคาร และอื่นๆ)

พันธกิจ
? จัดตั้งคณะกรรมการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ขององค์กรXXXXในประเทศไทย ในการพัฒนาทรัพยากรต่าง ๆ ที่ครอบครองหรือใช้ประโยชน์อยู่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และนำดอกผลมาสนับสนุนการทำพันธกิจ
? ติดต่อประสานงานกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ในการโอนที่ดินเข้าสู่องค์กรXXXXในประเทศไทย อย่างต่อเนื่องและเกิดผล

3.3 การจัดหาทุนจากแหล่งภายนอกเพื่อการทำพันธกิจ

พันธกิจ
? จัดทำโครงการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของมวลสมาชิกคริสตจักรและชุมชน เพื่อขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐ และเอกชน
? เชิญชวนองค์กรพัฒนาเอกชนคริสเตียนอื่น เข้ามาร่วมทำการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกคริสตจักรและชุมชน
? ดำเนินการจัดหาทุนในรูปแบบต่าง ๆ จากหน่วยงานขององค์กรXXXXเอง เช่นจากนักเรียน ผู้ปกครองนักเรียน เป็นต้น
? ติดต่อประสานงานกับกรมสรรพากรและกระทรวงการคลัง เพื่อรับการยกเว้นการเสียภาษีเงินได้ประจำปี และนำส่วนที่ได้รับการยกเว้นภาษีนี้ ไปสนับสนุนการทำพันธกิจขององค์กรXXXXในประเทศไทย

3.4 การตรวจสอบ

พันธกิจ
? จัดตั้งกรรมการตรวจสอบจากผู้แทนภาคและหน่วยงาน
? ดำเนินการให้หน่วยงานตรวจสอบภายในมีประสิทธิภาพ และดำเนินการตรวจสอบได้ทั่วถึง
? แต่งตั้งผู้ตรวจสอบบัญชีภายนอกจากหน่วยงานหรือบริษัทที่ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน

4. นโยบายด้านเอกสัมพันธ์และความร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ

ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างองค์กรXXXXในประเทศไทยกับคริสตจักรคณะนิกายต่างๆ องค์กรศาสนา หน่วยงานภาครัฐและองค์กรภาคประชาชนทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีในการพัฒนาสังคมและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

พันธกิจ
? ขยายความร่วมมือระหว่างคริสตศาสนิกนิกายต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
? ส่งเสริมบทบาทการเป็นผู้นำของคริสตชนในองค์กรภาครัฐและเอกชนมากขึ้น
? ขยายจำนวนคริสตจักรคู่มิตร ทั้งในอเมริกา ยุโรป เอเชียและแปซิฟิค
? โครงการพันธกิจกับคริสตจักรเพื่อนบ้านลุ่มน้ำโขง (จีน พม่า เวียดนาม กัมพูชาและลาว)

5. นโยบายด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศ

ส่งเสริมการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้ทันสมัย การพัฒนาศูนย์ข้อมูลเพื่อการสื่อสาร การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่นำไปสู่การวางแผนและการทำพันธกิจให้มีประสิทธิภาพและสัมฤทธิ์ผล

พันธกิจ
? ตั้งศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการวิจัย องค์กรXXXXในประเทศไทย
? จัดทำฐานข้อมูลคริสตจักร (data base) ที่เป็นระบบเดียวกัน
? จัดทำบัตรสมาชิกคริสตจักรในสังกัดองค์กรXXXXฯ
? พัฒนาระบบเครือข่ายสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการอย่างมีคุณภาพ
? ส่งเสริมการตั้งเครือข่ายวิทยุชุมชนคริสเตียน
? พัฒนาบุคลากรด้านสื่อสารมวลชน และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

6. นโยบายด้านการบริหารจัดการองค์กร
ส่งเสริมนโยบายและระบบการบริหารจัดการองค์กร โดยยึดหลัก “ความซื่อสัตย์ ความโปร่งใสและมีคุณธรรม” คือมีการบริหารแบบธรรมภิบาล การมีส่วนร่วม การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ การกระจายอำนาจและความรับผิดชอบของคริสตจักรภาค คริสตจักรท้องถิ่น หน่วยงานและสถาบัน ตลอดจนส่งเสริมให้มีการประสานงานระหว่างพันธกิจต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆในการทำพันธกิจ รวมทั้งการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

พันธกิจ
? ปรับปรุงแก้ไขธรรมนูญแห่งองค์กรXXXXในประเทศไทย ระเบียบปฏิบัติของธรรมนูญฯ รวม ทั้งระเบียบ หลักเกณฑ์ และประกาศต่างๆ ขององค์กรXXXXในประเทศไทยให้เหมาะสมและสามารถปฏิบัติได้
? จัดระบบการสรรหาและการแต่งตั้งผู้บริหารหน่วยงานและสถาบันให้มีความโปร่งใส ยุติธรรมและมีคุณธรรมเหมาะสมกับความรู้และศักยภาพ
? ปรับปรุงและพัฒนาระบบการตรวจสอบ การกำกับดูแลและประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้บริหารหน่วยงาน สถาบัน และผู้บริหารองค์กรXXXXในประเทศไทย
? ส่งเสริมการบริหารและการดำเนินงานแบบมีส่วนร่วมในทุกระดับ

ความรู้เกี่ยวกับผี

พอดีไปเจอเว็บสอนเรื่องผี ของ อ.สมศักดิ์ จึงขออนุญาตนำมาลงไว้ ณ ที่นี้เพื่อเป็นพรสำหรับทุกๆ คน

พระคริสต์พิชิตซาตาน
พระคัมภีร์พูดถึงซาตานอย่างไร
ซาตานเป็นใครมาจากไหน
ชื่อต่าง ๆ ของซาตาน
ซาตานทำอะไรบ้าง
ผีเป็นใครมาจากไหน
การงานของผี
ลักษณะของคนถูกผีเข้า
สาเหตุที่ผีเข้า
ชัยชนะเหนือผี

วิธีป้องกัน
คำพยานของผู้เขียน

หากท่านสนใจกรุณาคลิกเข้าไปอ่านได้ที่นี้

ที่มา :http://www.followhissteps.com/web_christianstories/defeat06.html

ลักษณะคนถูกผีเข้าสิง

คำจำกัดความของผีเข้าสิง ตามภาษาเดิมในพระคัมภีร์ คำที่ใช้ไม่เจาะจงชัดเจนเท่าภาษาไทย ภาษาเดิมมีความหมายว่า "ผีรบกวน เป็นทุกข์ลำบากยิ่งนัก" ในมัทธิว 15:22

แต่เวลาเดียวกัน ก็มีการสั่งให้ผี "ออก" ฉะนั้นดูเหมือนว่าผีต้อง "เข้า" ถ้ามันถูกไล่ออก

ในมัทธิว 12:43-45 อธิบายด้วยว่า ร่างกายของมนุษย์ คือที่ ๆ ผีชอบอาศัยอยู่ และหาโอกาสที่จะอยู่มากกว่า 1 ตัวก็ได้ น่าแปลกเหมือนกัน การที่ผีเข้าหรือผีรบกวนนั้น อาจจะมีลักษณะเบาหรือรุนแรงก็ได้ แล้วแต่กรณี

ฉะนั้น บางคนบอกว่าคนที่ถูกผีรบกวนกับคนที่ถูกผีเข้าไม่เหมือนกัน อันนี้อาจจะเป็นความจริง ดูกิจการ 5:16 แต่วิธีรักษามีวิธีเดียว ฉะนั้น เราอาจจะไม่ต้องเสียเวลามากในการสังเกตว่าผีรบกวนหรือผีสิง เราต้องบอกผู้ที่ถูฏผีเข้าหรือผีรบกวนนั้นให้หายกลัว อธิบายว่าเป็นการสิงหรือการรบกวนก็แล้วแต่ ย่อมสามารถรับการปลดปล่อยได้โดยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูคริสต์

เมื่อบุคคลอีกผู้หนึ่งเข้าครองในคนนั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงในหลายด้านด้วยกัน เช่น ดูลักษณะของคนที่ถูกผีเข้าในมาระโก มีถึง 7 ประการด้วยกัน

ลักษณะประการแรก เสียงเป็นเสียงของคนละคน

อาจจะใช้คนละภาษาที่เจ้าตัวไม่รู้เลย แต่บางทีอาจจะใช้เสียงเดียวกับเจ้าตัวได้ อันนี้ก็แล้วแต่กรณี แต่คนนั้นจะยอมรับบางสิ่งบางอย่างซึ่งเจ้าตัวไม่สามารถยอมรับ เป็นสิ่งแปลก เช่น ความลับบางอย่างที่เจ้าตัวไม่อยากเปิดเผย ก็เปิดเผย เช่น มีคนหนึ่งที่ผีเข้า ผมบังคับวิญญาณชั่วในนามของพระเยซูชาวนาซาเร็ธให้ตอบว่ามาทำไม

วิญญาณชั่วตอบว่า "มาเพราะนายสั่งมา"

ผมย้ำอีกว่า "มาทำไม"

มันก็บอกว่า "มาเอาชีวิต"

ผมจึงถามว่า "ทำไมจะต้องมาเอาชีวิต"

วิญญาณชั่วก็บอกว่า "เพราะนอกใจ"

ใช่ คนนั้นที่ถูกผีเข้าได้นอกใจสามีของเขา วิญญาณชั่วได้เปิดเผยสิ่งนี้ซึ่งคนปกติคนนั้นไม่เคยเปิดเผย

เมื่อรู้แล้ว ผมไม่ได้บอกเขาว่า เขาไปทำมิดีมิร้ายอะไรมา เพราะถ้าบอก เขาต้องรับสารภาพโดยจำเป็นต้องรับสารภาพ มันไม่ได้มีความหมายอะไร

ผมจึงถามผู้หญิงคนนั้นว่า "คุณต้องการจะรับชีวิตใหม่อย่างแท้จริงไหม ถ้าต้องการจะรับชีวิตใหม่ คุณจะต้องสารภาพบาปของคุณก่อน แล้วการสารภาพบาปนี้ คุณจะต้องพูดจากใจจริงของคุณ ไม่ใช่ผมชี้ให้คุณบอก"

สุดท้ายเขาก็ยอมรับสารภาพ และวันนั้น วินาทีนั้นเอง ที่เขาสารภาพและต้อนรับพระเยซูคริสต์ ถึงแม้ว่าเขาเคยต้อนรับมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคยมั่นใจว่าเขาเองเป็นลูกของพระเจ้า เพราะบาปบางอย่างที่เขาไม่ได้สารภาพกับพระเจ้า สุดท้ายวันนั้นเป็นต้นมา ผีเข้าไปในตัวเขาไม่ได้ มารบกวนวนเวียนอยู่เหมือนกัน แต่เข้าไม่ได้ นี่คือลักษณะของคนที่ผีเข้า มันจะพูดในสิ่งที่ปกติเจ้าของหรือคนนั้นที่ถูกเิข้าจะไม่ยอมรับ

ลักษณะประการที่สอง มีการเปลี่ยนแปลงระบบร่างกาย

ประเดี๋ยวอาจจะมีฤทธิ์แรงสูง และต่อมาประเดี๋ยวอาจจะหมดแรง เช่น ผู้หญิงคนนี้ทีไ่ด้พูดถึง เมื่อเวลาผีเข้า ไม่มีแรง แม้กระทั่งจะเดิน แต่เมื่อเวลาผีเข้าแล้ว มีกำลังผิดปกติ วิ่งจนคนสามสี่คนจับรั้งไม่อยู่

ลักษณะประการที่สาม มีความโกรธแค้นอย่างรุนแรง

ในมาระโก 5:4 เมื่อมีอารมณ์โกรธแล้วโกรธอย่างจับจิตจับใจ โกรธอย่างร้ายแรงจนขนาดที่ว่าระเบิดออกมาเป็นการกระทำ

ลักษณะประการที่สี่ มีความเสื่อมทางสภาพจิต

คือ มีสภาพจิตที่ไม่ปกติ เช่น วิ่งเข้าหาพระเยซูคริสต์ ขอให้สังเกตว่า พระคัมภีร์ตอนนั้นบอกว่า มันวิ่งเข้าหาพระเยซูคริสต์ "กลัวจนตัวสั่น"

ลักษณะประการที่ห้า ต่อต้านสิ่งที่เป็นฝ่ายวิญญาณอย่างรุนแรง

ในมาระโก 5:7 เรื่องนี้ขอให้เข้าใจว่าเราจะต้องสังเกตและลองวิญญาณ ทดสอบดูว่าวิญญาณนั้นเป็นวิญญาณที่มาจากวิญญาณชั่วหรือไม่ พระคัมภีร์ได้ชี้ให้เราเห็นชัดว่า วิญญาณใดที่ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าที่บังเกิดมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้นก็เป็นมาจากพระเจ้า ฉะนั้น คุณมีสิทธิ์ที่จะสังเกตและพิสูจน์วิญญาณเหล่านี้ได้เหมือนกัน

ผมเคยมีประสบการณ์เมื่อเจอวิญญาณชั่ว อยากรู้ว่ามันเป็นวิญญาณชั่วหรือไม่ ผมจะเทศนาหรือไม่ก็อธิษฐาน แต่การอธิษฐานต่อหน้าผู้หญิงหรือผู้ชายที่ถูกวิญญาณชั่วเข้าสิง ผมไม่หลับตา เพราะเคยมีประสบการณ์ว่าเมื่อขณะอธิษฐานถึงเรื่องฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า เรื่องการตายของพระเยซูบนไม้กางเขน เรื่องพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ชนะวิญญาณชั่ว เมื่ออธิษฐานถึงตอนนี้มันสั่น มันทนอยู่ไม่ได้ และมันเริ่มสำแดงอาการของมันออกมา ทันที่ที่จะทำร้ายร่างกายของเรา ตั้งแต่นั้นมา ผมไม่เคยหลับตาอธิษฐาน เมื่ออธิษฐานขับไล่วิญญาณชั่ว ต้องลืมตาอยู่ แล้วเทศนาให้มันฟังถึงเรื่องฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

ลักษณะประการที่หก อาจจะมีการขอย้ายไปที่อื่น ๆ

เช่น ในกรณีผีขอเข้าไปในสุกร (มาระโก 5:13) หรือเข้าในวัตถุ หรือบุคคลอื่น ๆ ก็ได้

ลักษณะประการที่เจ็ด อาจจะมีการสังเกตรู้บางสิ่งบางอย่างที่นอกเหนือธรรมดาได้

เช่น มาระโก 5:7 มันสังเกตรู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร ลักษณะอย่างอื่น ๆ ที่สังเกตโดยทั่วไป ถ้ามีบางคนที่นิสัยเลว หรือบังคับตัวเองไม่ได้ในเรื่องเพศก็ดี หรือเรื่องความโกรธแค้นก็ดี แม้แต่ความกลัวหรือการทรมานทางจิตใจก็ดี ความคิดแปลกในแง่หนึ่งแง่ใดก็แล้วแต่ อาจจะมีเบื้องหลังของการถูกรบกวนจากวิญญาณชั่วหรือผีก็ได้ การมีใจขมขื่น ไม่ให้อภัยต่อกัน ถ้าสารภาพแล้วอย่างจริงใจก็ยังไม่ลืม คงเป็นผีซึ่งเป็นเบื้องหลังในเรื่องนี้ เพราะการพ้นภาวะนั้นไม่ใช่ด้วยการสารภาพอย่างเดียว แต่ด้วยการขับผีออกในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้าด้วย

มาจาก: http://www.followhissteps.com/web_christianstories/defeat.html

พระเยซูผู้พิชิตผีและวิญญาณร้าย


เมื่อเราพิจารณาถึงเรื่องทูตสวรรค์และผี เรากำลังเข้าสู่มิติใหม่ มิติที่ไม่ได้อาศัยสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์ (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) แม้สัมผัสไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องทูตสวรรค์และเรื่องผีไม่ใช่เรื่องจริง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง

ในพระคัมภีร์เดิม พูดถึงพวกทูตสวรรค์ 17 เล่ม รวม 108 ครั้ง และในพระคัมภีร์ใหม่พูดถึง 165 ครั้ง

ในปัจจุบันนี้ คนทั่วโลกกำลังตื่นเต้นเรื่องวิญญาณ แต่จะเป็นวิญญาณดีหรือวิญญาณชั่วก็ไม่รู้ พวกเขาขอให้ได้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยก็แล้วกัน

ดังนั้น จะเห็นว่ามีอะไร ๆ เกี่ยวกับเรื่องผีผี วิญญาณต่าง ๆ มากขึ้น เช่น ภาพยนตร์หมอผีเอ็กเซอร์ซิสซ์ เป็นต้น

คริสเตียนจึงควรจะเข้าใจเรื่องนี้ เพราะการดำเนินชีวิตคริสเตียนก็เปรียบเหมือนอยู่ในสนามรบ โลกกำลังมีสงครามระหว่างอำนาจมืดกับอำนาจของพระเจ้า และเราอยู่ในท่ามกลางสงครามนี้

ฉะนั้น ในฐานะคริสเตียน ทุกคนเป็นทหารของพระคริสต์ จึงจำเป็นต้องรู้ยุทธอุบายทุกอย่างของฝ่ายตรงข้าม และต้องมีอาวุธที่สามารถต่อสู้กับศัตรูได้

ในหนังสือเอเฟซัศบทที่ 6 ได้เตือนคริสเตียนทุกคนให้ระวังตัวอยู่เสมอ และให้สวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของผีมารซาตานได้

เมื่อดูเบื้องหลังของคนไทย ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับพวกภูตผีปีศาจ แม้แต่ผมเองก็เป็นหลานหมอผี และเกือบจะเป็นหมอผีด้วยเหมือนกัน แต่ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ช่วยผมทัน ไม่ให้ผมตกไปเป็นเครื่องมือของผีมารซาตาน

ฉะนั้น ในฐานะที่ผมเป็นคนไทย และเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมจึงอยากจะอธิบายเรื่องนี้จากพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจกันอย่างชัดเจนว่า "ซาตานกับผีเกี่ยวข้องกันอย่างไร" เพื่อเราจะได้รู้ยุทธอุบายของมัน รู้การงานและลักษณะของมันด้วย

สถานการณ์ต่าง ๆ ในโลกกำลังวุ่นวาย และผู้ที่อยู่ที่เบื้องหลังของเหตุการณ์เหล่านี้ ก็คือ ซาตานกับพรรคพวกของมันนั่นเอง พวกมันกำลังปลุกปั่นยุยงให้เกิดเหตุการณ์ที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นทุกที

ที่มา http://www.followhissteps.com/web_christianstories/defeat.html

ฉะนั้น ให้เรามาพิจารณาถึงเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพราะเพียงอยากรู้อยากเห็น แต่ในฐานะที่เราเป็นผู้ที่ได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงมีชัยชนะเหนือกิจการทั้งสิ้นของซาตาน

ประสบการณ์เรื่องผีๆ ของอาจารย์ใหญ่


ผมเกิดมาในครอบครัวที่มีความเชื่อผสมปนเปกันหลายอย่าง คือ คุณตาเป็นผู้นำทางศาสนาพุทธ ส่วนคุณปู่เป็นหมอผี เมื่อผมเกิดมา คุณปู่ก็มาหาพ่อของผมว่า ผีได้เลือกผมเป็นทายาทหมอผีต่อจากคุณปู่ ดังนั้น ท่านจึงพาผมไปอยู่ด้วย เพื่อจะฝึกฝนวิชาการ เรียนไสยศาสตร์ตามฉบับคุณปู่ ผู้เชี่ยวชาญทางเวทมนตร์คาถา และติดต่อกับผี ทำการอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ เช่น เสกให้บ้านหายไปได้ เดินบนไฟได้ เป็นต้น

เมื่อผมอยู่กับคุณปู่ ท่านสอนวิชาทั้งหลายเหล่านี้ให้ผมจนหมด สอนให้รู้วิธีติดต่อกับผี หรือใช้ผีทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ รู้วิธีพูดคุยกับผีเหมือนกับมันเป็นคน เวลาไปไหนมาไหน ผมก็จะเดินหลังท่านไปต้อย ๆ ได้พบได้เห็นท่านทำธุรกิจต่าง ๆ กับพวกผี จนผมเองก็ทำได้

แต่ยิ่งผมเรียนรู้เรื่องผี เรื่องวิญญาณชั่วเหล่านี้มากเท่าไร ก็ยิ่งตกเป็นเหยื่อของมันมากขึ้นเท่านั้น จำได้ว่า คืนหนึ่ง คุณปู่นั่งอยู่ในห้องมืด ๆ คอยรับคำสั่งจากพวกผี ขณะที่ท่านกำลังเจรจากับผีอยู่ มันสั่งให้คุณปู่ทำอะไรบางอย่างที่คุณปู่ไม่ต้องการจะทำ มันก็ทำร้ายท่านจนท่านลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้น เจ็บปวดเหมือนจะตาย แล้วท่านจึงสวดเป็นภาษาเขมรสู้ผี สักครู่จึงค่อย ๆ หายเป็นปกติ

พอท่านออกจากห้องนั้น ผมก็ถามว่าที่สวดเมื่อกี้แปลว่าอะไร ท่านบอกว่า แปลว่า "ขอยอมแพ้ จะสั่งให้ทำอะไรก็ยอมทำทั้งสิ้น" จากนั้น ผมจึงเรียนรู้ว่า คุณปู่ไม่ได้มีฤทธิ์อำนาจอะไรเหนือผีเลย ที่จริงกลับเป็นเครื่องมือให้พวกมันใช้ตามใจของมัน ผมจึงตัดสินใจเด็ดขาดตั้งแต่บัดนั้นว่า จะไม่ยอมเป็นหมอผีเด็ดขาด ไม่อยากจะเป็นทาสของพวกวิญญาณชั่ว

ดังนั้น เมื่อเรียนจนมัธยมปลาย และคุณปู่เสียชีวิตลง ผมไปไม่ทันดูใจท่าน แต่คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า ก่อนท่านสิ้นใจ ท่านยกมรดกทางไสยศาสตร์ทั้งหมดให้ผม นั่นหมายความว่า ผมผู้เดียวที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหมอผีสืบต่อจากคุณปู่

ครั้นเมื่อไปถึงบ้าน ทุกคนมองดูผมเป็นตาเดียวด้วยความหมายว่า ผมคงจะดำรงตำแหน่งหมอผีคนต่อไป ถึงแม้จะยังอายุน้อย แต่ผมบอกพวกเขาว่า ไม่ต้องการเป็นหมอผี ทุกคนจึงผิดหวังมาก

ตอนนั้นมีผู้หญิงคนทรงคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกับคุณปู่ คอยทำนายทายักคนที่มาขอให้ดูอนาคตอยู่ด้วย เมื่อผมปฏิเสธ หญิงคนนั้นลุกขึ้นชี้หน้าผม บอกว่า "ถ้าถึงอายุ 21 แล้วแกไม่ยอมเป็นหมอผีล่ะก็ ฉันจะฆ่าแกเสีย" แต่ผมไม่กลัวเลย และยังบอกกับคุณพ่อว่า ผมไม่มีวันยอมเป็นหมอผีเด็ดขาด แม้ต้องตาย ก็ดีกว่า

เมื่อเป็นดังนั้น ผมรู้ว่าผีคงไม่ไว้ชีวิตผมแน่ จึงขอเงินคุณพ่อ บอกว่า ไหน ๆ ก็จะตาย ขอเงินไปเที่ยวให้มีความสุขก่อนตายเถอะ คุณพ่อก็ให้เงินจำนวนมาก และถ้าผมเห็นว่าอะไรจะทำให้ผมมีความสุข ก็ทำทันที เพื่อนฝูงก็มารุมตอมทำให้ชีวิตผมเสื่อมทรามลง กลายเป็นนักพนัน ติดยาเสพติด พิษสุราเรื้อรัง แต่ผมก็ยังไม่เคยพอใจอะไร ยิ่งทำตัวแบบนั้นมากเท่าไร ก็ยิ่งเศร้าหมองมากขึ้นเท่านั้น ผมจึงรู้ว่าวิธีนี้ไม่ช่วยให้มีความสุขเลย ถึงอย่างนั้นก็ช่วยตัวเองไม่ได้

คุณตาบอกว่า ทางที่ดีที่สุด ควรจะไปบวชเณร ผมตกลงเพียงเพื่ออยากจะหาความสุขให้ได้ก่อนตาย ผมบวชเณรอยู่ 2 ปี จนกลายเป็นนักเทศน์ แต่กลับฟุ้งซ่าน และยังไม่พบความสุข แม้ว่าได้พยายามนั่งสมาธิก็แล้ว ทำใจให้ว่าง ปล่อยวางความคิด พอเลิกก็เหมือนเดิม สิ่งที่ทำให้ผมละอายแก่ใจในการเป็นเณร คือ ผมเที่ยวสอนใครต่อใครให้ทำดี แต่ตัวเองกลับทำไม่ได้ ผมจึงสึกออกมาเสีย

ผมเชื่อว่านี่เป็นแผนการของพระเจ้า ถ้าผมไม่เป็นคนเลว ก็คงไม่กลัวตกนรก และคงไม่แสวงหาทางหลุดพ้น จนได้พบพระเยซูอย่างนี้

คราวนี้ผมเดินทางไปหาเพื่อนที่อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ชวนเขาไปท่องเที่ยวด้วย เพราะเขารู้จักทิศทางทั่วเมืองไทยมาก เขาถามผมว่า อยากเห็นแฟนเขาไหม ผมบอกว่าอยากสิ เขาจึงพาไปที่โรงพยาบาลมโนรมย์ ตอนนั้นราว 9 โมงเช้า ที่โรงพยาบาลมีการประชุมกลางแจ้งที่ตึก OPD คนไข้นอก ผมได้ยินคนไทยพูดเรื่องพระเยซูคริสต์ แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้เกลียดผู้ชายคนนี้ขึ้นมาจับใจ แม้เขาไม่เคยทำร้ายอะไรผมเลย ผมจึงอยากลงมือทำอะไรสักอย่าง แต่ทำไม่ได้ เพราะคนมาก จึงได้แต่หัวเราะเยาะ และทำให้เขาหมดกำลังใจจะได้หยุดเทศน์

ขณะที่ผมปฏิบัติการอันไม่ชอบมาพากลอยู่นั้น เขาก็พูดขึ้นว่า "ทุกคนเป็นคนบาป" ผมบอกว่าไม่เห็นแปลกเลย ผมรู้ว่าผมเป็นใคร แต่เขาบอกว่า "พระเยซูมีฤทธิ์อำนาจยกบาปได้"

คำว่า "ฤทธิ์อำนาจ" นั้นสะกิดใจผมมาก ผมเลยอยากพิสูจน์ฤทธิ์อำนาจนี้ ตามปกติ ก่อนนอน ผมจะสวดมนต์อย่างน้อย 2 ชั่วโมง อธิษฐานกับพระพุทธ และวิญญาณชั่ว ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็นอนไม่หลับ ถูกวิญญาณชั่วรบกวนทั้งคืน

คืนนั้น ผมลองอธิษฐานสั้น ๆ กับพระเยซู บอกว่า "ถ้าพระองค์มีฤทธิ์อำนาจยกบาปได้จริง ทำให้ผมเห็นคืนนี้ ปกป้องให้ผมพ้นจากอำนาจของวิญญาณชั่วเถิด" แล้วผมก็เข้านอน คืนนั้นผมนอนหลับสบายมาก พอตื่นขึ้น ผมตระหนักชัดว่าพระเยซูมีฤทธิ์อำนาจเหนือกว่าวิญญาณชั่วที่รบกวนอยู่ ผมจึงอยากรู้มากขึ้นว่า "พระเยซูเป็นใคร"

วันต่อมา เพื่อนของผมต้องไปสอบผู้ช่วยพยาบาล เขาชวนว่า จะไปสอบด้วยไหม ผมตกลง เราจึงไปขอร้องให้ผู้ควบคุมสอบอนุญาตให้ผมเข้าสอบ ทีแรกเขาไม่อนุญาต เพราะผมไม่มีหลักฐานอะไร ผมขอร้องต่อไป และบอกว่า ถ้าสอบได้จะนำหลักฐานทุกอย่างที่ต้องการมาให้ทันที ผมประหลาดใจมากที่ในที่สุดผมได้รับอนุญาต และสอบได้ด้วย แม้จะทิ้งตำรามา 2-3 ปีแล้ว ผมกลับไปหาคุณตา แจ้งข่าวดีให้ทราบว่าผมกำลังจะได้ทำงานที่โรงพยาบาลคริสเตียนมโนรมย์ คุณตาดีใจด้วย แต่ก็กำชับว่าห้ามฟังห้ามสนใจเรื่องคริสเตียนเด็ดขาด

ที่จริงผมไปทำงานโรงพยาบาลไม่ใช่เพราะอยากทำ แต่เพียงอยากรู้ว่า "พระเยซูคือใคร" พระเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ แม้ไม่ได้บอกใครเลยก็ตาม

เมื่อได้เข้าทำงาน และอีกสองสามสัปดาห์ต่อมาก็สอบเลื่อนขั้นได้อีก ขึ้นเข้าศึกษาในโรงพยาบาล จากนั้นมีประชุมยุวชน ผมอยากลงทะเบียนเข้าร่วมประชุม แต่ไม่มีเงิน เพราะเสียพนันไปหมด จึงอธิษฐานว่า "พระเยซู ผมอยากเข้าร่วมการประชุมนี้ เพราะอยากรู้จักพระองค์ ขอเงินให้ผม 10 บาทเถอะ แค่ 10 บาทเท่านั้นเอง ค่าลงทะเบียน" แล้วผมคอยเฝ้ามองทางหน้าต่างด้วยหวังว่าพระองค์จะโยนเงินเข้ามาให้ทางหน้าต่าง จากวันจันทร์ผ่านไปถึงวันศุกร์ตอนเย็น เย็นนี้แหละจะเริ่มการประชุมแล้ว

บ่ายนั้นเอง พ่อแม่ของผมมาหา บอกว่า "ทำไมลูกไม่เขียนจดหมายถึงพ่อแม่เลย นี่คิดถึงลูกมาก" ท่านก็โยนเงินให้แล้วก็กลับไป

พระเยซูตอบคำอธิษฐานอย่างอัศจรรย์ เพราะการกระทำเช่นนี้มิใช่ปกติวิสัยของพ่อแม่ของผมที่จะมาหาเพียงเพื่อให้เงินไว้ใช้ ธรรมดาท่านจะต้องอยู่พักค้างคืนคุยแล้วคุยอีก

ผมจึงได้เข้าร่วมประชุมในตอนเย็น ครั้งนี้ ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าจริง เพราะทุกอย่างเหมือนจัดไว้เฉพาะ การประชุมไม่มีเรื่องอื่นใดนอกจากชีวิตของพระเยซู เขาสอนเรื่องพระเยซู ตั้งแต่ก่อนเกิด แล้วเรื่อยไปจนถึงตาย เมื่อเขาพูดถึงพระเยซูแบกไม้กางเขนไปยังแดนประหาร ผมไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ คิดว่าคนที่สมควรตาย คือ ผมเอง ไม่ใช่พระเยซู แต่พระเยซูยอมตายเพื่อบาปของผม เวลานั้นผมไม่คิดถึงใครเลย มันเหมือนผมอยู่คนเดียวในโลก และพระเยซูมาเพื่อตายไถ่บาปแทนโดยเฉพาะ

เมื่อเขาเทศนาจบแล้ว ผมเข้าไปหามิชชันนารีผู้ดูแลคริสตจักรมโนรมย์ และถามว่าผมจะขอให้พระเยซูเป็นพระผุ้ช่วยให้รอดส่วนตัวของผมได้อย่างไร ท่านถามว่าผมรู้สึกอย่างไร ผมตอบว่ารู้สึกตัวว่าเป็นคนบาป และพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียวที่ช่วยผมได้ ท่านจึงนำผมอธิษฐานต้อนรับพระเยซู

วินาทีนั้น ผมได้รับคำตอบซึ่งพยายามค้าหามานาน เมื่อต้อนรับพระเยซูแล้ว ผมพบสันติสุขในใจอย่างแท้จริง วิญญาณชั่วอะไรอื่น ๆ ที่ผมเคยลิ้มลองนั้นไม่สามารถให้สันติสุขนี้แก่ผมได้ พระเยซูเท่านั้นที่ทำได้ ผมดีใจมาก อยากรู้จักพระองค์ยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งอ่านพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ร้องไห้ ... ร้องใหญ่เลย เพราะซาบซึ้งในความรักของพระองค์

จากนั้น พระเจ้าส่งคนมาสอนพระคัมภีร์ให้ทุกคืน ช่วยให้ผมเข้าใจอะไร ๆ ดีขึ้น รู้จักฤทธิ์อำนาจความยิ่งใหญ่ของพระเยซูมากขึ้น รู้จักพึ่งพาในพระองค์จริง ๆ

ในที่สุด ผมก็รับศีลบัพติศมา ผมจำคืนที่รับบัพติศมาได้ วิญญาณชั่วโจมตีใหญ่เลย และพยายามจะดึงผมกลับ คืนนั้น ขณะที่ผมกลับบ้าน ผมฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเคยเห็นหลายครั้งแล้วเมื่อตอนที่คุณปู่ยังอยู่ มันจะปรากฎบ่อย ๆ เหมือนเป็นเงา ผมจำลักษณะได้ แต่ไม่มีตัวตน

ผู้หญิงคนนั้นมายืนข้าง ๆ บอกว่า "ฉันต้องเอาเจ้ากลับไป" ผมบอก ไม่ไปด้วย มันก็พูดซ้ำอีก และพยายามดึงขาผม ขาจึงไปติดกับขอบปลายเตียง ผมตกใจตื่น

แปลกมาก แม้เป็นเพียงความฝัน แต่ก็เกิดขึ้นจริง ๆ ตัวผมร่นไปจนเท้าติดปลายเตียงอย่างในฝัน แล้วยังเห็นผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้า ผมบอกกับมันว่า "ฉันไม่ไป เพราะฉันเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว"

พอพูดคำว่า "ลูกของพระเจ้า" มันก็กลัว ผมบอกว่า "ฉันเป็นของพระเยซูคริสต์แล้ว" มันกลัวมาก เมื่อได้ยินคำว่า พระเยซู ผมจังไล่ให้มันไป นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้จักใช้พระนามของพระเยซู แม้จะไม่เคยรุ้มาก่อน มันล้มลงแล้วลุกเดินลงไปชั้นล่าง ผมไปปลุกเพื่อน ชวนเขามาดู เขาก็เห็นผู้หญิงนี้เดินออกจากห้องโถงใหญ่ออกไปข้างนอก พอถึงต้นไม่ใหญ่ก็หายไป

แต่นี่ยังไม่จบบทบาทของมัน มันยังมารบกวนอีกในรูปแบบต่าง ๆ กัน แต่ผมไม่กลัวแล้ว เพราะรู้ว่าชนะแล้ว ยิ่งเผชิญกับผลงานของผีและวิญญาณชั่วมากเท่าไร ผมก็ยิ่งขอบคุณพระเจ้า เพราะได้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระองค์ยิ่งใหญ่ขึ้น เมื่อเชื่อพระเจ้า ผมรู้ว่ามีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าอยู่ภายในที่ยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ภายนอก และผมเป็นบุตรของพระองค์ จึงมีสิทธิอำนาจที่จะใช้พระนามของพระองค์เอาชนะฝีวิญญาณชั่ว

แม้ผมจะรู้เคล็ดลับวิธีเอาชนะวิญญาณชั่วแล้วก็ตาม แต่เมื่อแต่งงานแล้วกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แม้วิญญาณชั่วทำร้ายผมไม่ได้ แต่มันพยายามไปทำร้ายภรรยาและลูกแทน นี่เป็นเรื่องใหม่จริง ๆ สำหรับผมซึ่งไม่รู้มาก่อน จึงไม่ได้สนใจ มาเข้าใจเมื่อลูกสาวอายุได้ 3 ขวบ ลูกคนนี้มักจะร้องกรี๊ด ๆ แทบทุกคืนนับตั้งแต่เกิดมา จนไม่สามารถปล่อยไว้ลำพังได้ ต้องคอยเอามือโอบกอดหรือวางไว้บนหลังหรือท้องเพื่อลูกจะรู้สึกว่าพ่อแม่อยู่ด้วย มิฉะนั้นลูกจะนอนไม่หลับ กลัวอะไรบางอย่าง บางครั้งผมก็ตีลูกเพราะคิดว่าลูกเกเร

วันหนึ่ง เราสามคนพ่อแม่ลูกร้องเพลงอธิษฐานกัน ขณะที่สรรเสริญพระเจ้า ลูกสาวก็ร้องไห้ ผมแปลกใจมาก พอสรรเสริญพระเจ้าอีก ลูกก็ร้องไห้อีก และบอกให้หยุดร้องเพลง ไม่อยากได้ยิน ผมจึงรู้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ปกติแน่ จะต้องมีอะไรรบกวนลูกแน่ ผมอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยสำแดงให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พระองค์ก็ตอบและเปิดตาให้ผมเห็นเงาของผู้ที่มารบกวนลูกในรูปแบบต่าง ๆ บางทีก็เป็นเงามืดปกคลุม ผมจึงสั่งในพระนามพระเยซูว่า "ไม่ว่ามันจะเป็นใคร จงไปให้พ้น" มันก็ไป ๆ มา ๆ ผมขอพระเจ้าช่วยให้รู้วิธีกำจัดมัน

ต่อมา ผมได้พบอาจารย์ อาเธอร์ นีล ที่เป็นคนช่วยอธิษฐานขับไล่วิญญาณออกจากราชินีแม่มด ดอรีน ซึ่งมีผีถึง 36 ตัว ออกจากเธอ อีกครั้งได้ไปเยี่ยมเพื่อนที่คาร์ดิฟ ตอนใต้ของประเทศอังกฤษ ทันทีที่ก้าวเข้าไปในบ้าน ผมรู้สึกมีอะไรบางอย่างพยายามผลักผมออกไปนอกบ้าน ผมไม่ได้บอกให้ลูกและภรรยาทราบเพราะเกรงว่าพวกเธอจะตกใจกลัว เพียงแต่บอกภรรยาให้เอาลูกมานอนด้วย แต่ลูกอยากนอนห้องเด็ก ซึ่งมีของเล่นมากมาย ผมก็ยอมตาม โดยคอยระวังฟังเสียงลูก

ราวตีหนึ่งลูกก็กรีดร้อง ผมวิ่งเข้าไปหา ก็เห็นผี 5-6 ตัว ล้อมรอบอยู่ ผมโกรธมาก อยากสู้กับมัน เลยวิ่งเข้าหามัน มันก็วิ่งไล่ ผลักผมล้มลงตัวแข็งทื่อ กระดุกกระเดี้ยไม่ได้ ผมไม่กลัว แม้จะสู้ด้วยแรงตัวเองไม่ไหว แต่ก็รู้วิธีเอาชนะมัน แม้ไม่ได้ออกเสียงเลยก็ตาม ผมพูดในใจว่า "ในพระนามพระเยซูชาวนาซาเร็ธ จงไปให้พ้นเราเดี๋ยวนี้" ผมเห็นพวกมันเหมือนถูกผลักกระเด้งจนล้ม จึงวิ่งเข้าไปจะจับ มันเลยหายตัวไป

วันรุ่งขึ้น เลขานุการของโบสถ์มาเล่าประวัติบ้านนี้ให้ฟัง ผมจึงบอกว่ารู้แล้ว เพราะเมื่อคืนถูกผีรบกวนใหญ่เลย บ้านนี้เคยเป็นที่อยู่ของเด็กติดยา และพวกนี้บูชาซาตานและผีในบ้านด้วย ภายหลังโบสถ์ซื้อบ้านนี้ไว้ และพบเทียนเล่มหนึ่ง ศิษยาภิบาลจึงหยิบเทียบเล่มนั้นปาทิ้งลงทะเลโดยไม่ได้ระมัดระวังตัว ไม่ได้อธิษฐานขอการคุ้มครองจากพระเจ้าเสียก่อน ทันทีที่เทียนหล่นลงน้ำ เขารู้สึกเหมือนลมพายุพัดกระโชกเข้าหาตัว รัดคอเขาไว้ จากนั้นก็ไม่สามารถพูดได้อีก หมอบอกว่าต้องเลิกเป็นนักเทศน์ เพราะคออักเสบ แต่เขาไม่ยอม เขาบอกว่ายังไง ๆ เขาต้องประกาศพระคำพระเจ้า ปัจจุบันเขายังเป็นนักเทศน์อยู่ ซุ่มเสียงดีขึ้นแล้ว เพราะรู้จักวิธีต่อสู้ซาตานดีขึ้น

เลขานุการของโบสถ์แปลกใจมากที่เราถูกผีรบกวนเพราะบ้านนี้ได้อธิษฐานถวายพระเจ้าแล้ว อาจารย์อาเธอร์ นีล ก็ได้อธิษฐานขับไล่แล้วด้วย ผมบอกเธอว่า "ฟังให้ดีนะ สิ่งที่ผมรู้มาอาจไม่เหมือนกับที่คุณเคยรู้ คุณปู่เคยอธิบายว่าที่ไหนก็ตามที่วิญญาณชั่วอยู่ ที่นั่นก็เป็นของมัน และมันเป็นเจ้าของที่นั่น มันจะไม่ยอมไปจนกว่าจะมีผู้มีอำนาจมากกว่ามาบังคับไล่มันออกไป ถ้าคุณขับผีที่อยู่ห้องนี้ออกไป มันจะหนีไปอีกห้องหนึ่งอย่างนี้เรื่อย ๆ ไป เราต้องขับมันออกไปทีละห้องจนครบทุกห้อง ในบ้านสะอาดปลอดโปร่งแล้ว จึงถวายบ้านให้พระเจ้า"

เธอรีบโทรศัพท์เชิญอาจารย์ อาเธอร์ นีล เขาถามว่าผมเห็นอะไรบ้าง ผมจึงอธิบายที่พบเห็น แล้วอาจารย์ อาเธอร์ นีล ก็อธิษฐานขับไล่ เขาบอกว่า "จริงอย่างที่คุณว่า" เนื่องจากเขามีของประทานในการสังเกตวิญญาณ เขาได้เห็นว่ามันหนีออกไปหลบอยู่อีกห้องหนึ่ง เขาสามารถจำแนกความแตกต่างของวิญญาณชั่ว และอธิบายให้ผมฟังว่าวิญญาณชนิดไหนทำหน้าที่อะไร เราร่วมกันอธิษฐานขับไล่ และพาพวกเด็ก ๆ ออกไปจากบ้านเสียก่อน เพราะจำได้ว่าที่สก็อตแลนด์มีการขับไล่วิญญาณชั่ว แต่ทุกคนลืมไปว่ามีเด็กทารกนอนอยู่ในห้อง ผีจึงเข้าไปสิงเด็ก และฆ่าเด็กตาย พวกเด็ก ๆ มักจะไว้ต่อพวกวิญญาณเหล่านี้มาก และถูกโจมตีง่าย เพราะช่วยตัวเองไม่ได้ ผมจึงส่งลูกออกไปอยู่ที่อื่นก่อน แล้วเริ่มอธิษฐานขับไล่ผีกันจนปลอดโปร่งไปทั้งบ้าน จากนั้นถวายบ้านให้พระเจ้า

ก่อนหน้านี้ มีมิชชันนารีหลายคู่ถูกผีทำร้าย มีคู่หนึ่งบอกว่า ภรรยากำลังท้องลูกอยู่ ไม่รู้ถูกใครตบจนล้มลงแท้งลูกไปเลย อาจารย์ อาเธอร์ นีล อธิบายให้ฟังว่า "ถ้าเราถูกวิญญาณชั่วรบกวนบ่อย ๆ เราสามารถส่งมันไปนรกได้ก่อนถึงเวลากำหนด โดยพระนามพระเยซู" ผมดีใจที่ทราบเรื่องนี้ และคิดในใจว่าคราวหน้า ถ้ามันมาอีก จะต้องจัดการให้เด็ดขาด

เวลานั้นผมไปเรียนอยู่ที่ All Nations Bible College ผมอธิษฐานในใจว่า "พระเจ้าข้า ถ้ามีวิญญาณชั่วเข้ามาเมื่อไร ขอโปรดให้ข้าพระองค์ทราบด้วย" ผมไม่เคยเอ่ยความคิดนั้นออกมา ได้แต่คิดในใจเท่านั้น พวกเราควรรู้ว่า วิญญาณชั่วไม่สามารถรู้อะไรที่อยู่ในใจของเราได้ มันรู้เพียงสิ่งที่เราพูด สิ่งที่แสดงออกมาเท่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ทุกสิ่งแม้กระทั่งความคิดในใจ

คืนหนึ่ง ลูกสาวของผมสะกิดบอกผมว่า "พ่อ พ่อ นั่นไง มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าต่าง" ลูกเห็น ผมไม่เห็น ผมจึงอธิษฐานของพระเจ้าทรงสำแดง แล้วก็เห็นเงาผู้ชายยืนอยู่ที่หน้าต่าง ผมจึงวางมืออธิษฐานเผื่อลูกสาว และสั่งผีตัวนั้นในพระนามพระเยซูคริสต์ว่า "นับแต่บัดนี้ไป เจ้าต้องไม่มารวบกวนลูกสาวอีกต่อไป เพราะลูกสาวเป็นของพระเยซู" ผมปลอบลูกสาว ให้เชื่อมั่นและวางใจในพระเจ้า ไม่ต้องกลัวอะไร ขอให้หลับเสีย แต่ลูกก็ไม่หลับ ยังนอนลืมตาจ้องผู้ชายคนนั้นเดินออกไปจากบ้าน ลูกถามผมว่า ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ผมอธิบายว่า เป็นคนไม่ดี แต่ต่อไปนี้ลูกไม่ต้องกลัว เพราะมันรบกวนลูกอีกไม่ได้ ลูกมีพระเยซูที่มีอำนาจเหนือมัน ลูกจะปลอดภัยจากผี วิญญาณชั่ว นับจากนั้นมา ลูกของผมก็ไม่ถูกรบกวนอีก

ผมสอนลูกว่า ให้จดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ และวันข้างหน้า เมื่อมีลูกมีหลานถูกวิญญาณชั่วรบกวน ก็ให้ทำอย่างเดียวกับที่พ่อทำในวันนี้

อีกอย่างหนึ่งที่ทุกคนควรทราบก็คือ ถ้าคุณไม่อยากถูกวิญญาณชั่วรบกวน ก็อย่าไปพูดถึงมันมาก บางคนชอบยกย่องมารร้ายว่ามันเก่งอย่างโน้นอย่างนี้ รู้อย่างนี้ อย่างโน้น ที่จริงมันไม่ได้เก่งหรือรู้ไปหมดทุกอย่าง อาศัยพวกมากเท่านั้นเอง เราไม่ต้องยกย่องชมเชยความสามารถของมัน ไม่ต้องเอ่ยถึงมัน เราควรอธิษฐานกับพระเจ้าเสมอ สรรเสริญพระเจ้า ยกย่องพระเจ้า พระองค์จะอยู่ด้วยกับเรา ยิ่งเราพูดถึงพระองค์ สรรเสริญพระองค์มากเท่าไร พระวิญญาณของพระเจ้าจะใกล้เรามากขึ้นเท่านั้น ทำให้เราเข้มแข็ง

คนไทยเรามักกลัวผี ที่กลัวก็เพราะชอบพูดถึงผี ยิ่งพูดเราก็จะรู้สึกว่ายิ่งถูกรบกวน ถูกกดดัน ถ้าเราเลิกพูด หันมาพูดเรื่องพระเจ้า วิญญาณชั่วก็จะพ่ายแพ้เรา เพราะมันแพ้พระเจ้า

เมื่อถูกวิญญาณชั่วรบกวน เราไม่ต้องอธิษฐานขอพระเจ้าช่วย แต่เรามีอาวุธที่พระเจ้าให้แล้ว คือ สั่งขับผีได้เลย "ในพระนามพระเยซูคริสต์ ชาวนาซาเร็ธ จงไปให้พ้น"

เมื่อภรรยาของผมทำงานอยู่เวรกลางคืนในโรงพยาบาล คืนหนึ่ง เธอเห็นเงาผู้ชายเคลื่อนเข้าใกล้ โดยมีวัตถุบางอย่างอยู่ในมือ และพยายามจะเอาสิ่งนั้นมาโปะหน้าของเธอ พอเธอเห็นมันเข้าใกล้ เธอตะโกนร้อง "พระเยซูช่วยด้วย" มันก็หายตัวไป สักครู่มันก็ไปหาอีกคนหนึ่ง เขาก็ร้อง "พระเยซูช่วยด้วย" มันก็หายไปอีก แล้วมันก็กลับมาหาภรรยาของผมอีก กลับไปกลับมาอยู่นั่นแหละ หนัก ๆ เข้า เธอนึกขึ้นได้ว่าผมเคยสอนว่าไม่ต้องขอความช่วยเหลือ แต่ให้ใช้สิทธิอำนาจในพระนามพระเยซูคริสต์ เธอทำตาม วิญญาณนั้นก็หายไปจริง ๆ ไม่มารบกวนอีก

วิญญาณชั่วเป็นเหมือนหมา ถ้าเรากลัวมัน มันจะเข้ามากัด ผมเรียนรู้เรื่องนี้จากหมอเฮนรี่ อาจารย์ที่วิทยาลัยพระคริสตธรรมกรุงเทพฯ เราไปประกาศข่าวประเสริฐด้วยกัน เราร้องเรียกให้คนเข้ามาฟังพระคำพระเจ้า มีใครมา มีแต่หมาวิ่งไล่ จนผมต้องวิ่งหนีไปรอบหมอเฮนรี่ ในที่สุดท่านก็ไล่มันไป ท่านบอกว่าผมขาดความเชื่อ ผมถามว่ารู้ได้อย่างไร ท่านบอกว่าไม่ใช่ท่านรู้คนเดียว หมามันก็ยังรู้ ผมจึงได้คิด หมารู้ว่าใครกลัวมัน ท่านบอกว่าถ้าคิดว่ารพะเจ้ายิ่งใหญ่น้อยกว่าละก็ อย่าเชื่อพระองค์เลย ถ้าเชื่อว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่า ค่อยเชื่อ จากนั้นผมไม่เคยกลัวอีกเลย

วิญญาณชั่วเช่นกัน มันรู้ว่าใครกลัวมัน ซาตานเหมือนสิงห์คำราม คอบจับจ้องคนที่มันจะกัดกินได้ มันทำให้คนกลัว ตกใจ หดหู่ แต่อย่าลืมว่าเรามีสิทธิอำนาจเหนือมัน เพราะเราเป็นคนของพระเยซูคริสต์ เราต้องรู้วิธีใช้สิทธิอำนาจนี้

ดอรีน ราชินีแม่มด ที่กลับใจมาเชื่อพระเยซู เล่าให้ฟังว่า ที่เธอกลับใจ เพราะเธอรู้ว่าพระเยซูมีอำนาจเหนือมารซาตาน ตอนก่อนเชื่อพระเจ้า เธอเคยได้ยินคริสเตียนอธิษฐานสรรเสริญพระเจ้า เธอรู้สึกเกลียดชัง ไม่พอใจ และอยากจะทำร้ายพวกนี้ ดังนั้น เวลามีคริสเตียนเดินผ่านบ้าน เธอจะส่งผีทำร้าย แม้กระทั่งเด็กเล็ก ๆ ที่เชื่อพระเจ้า ผีกลับมาหาเธอด้วยความผิดหวัง เพราะมันแตะต้องคริสเตียนไม่ได้เลย แม้ว่าคนที่เชื่อนั้นเป็นเพียงเด็กเล็ก ๆ เธอจึงคิดได้ว่าพระเยซูต้องมีฤทธิ์อำนาจมากกว่าซาตาน เธอจึงหันมาหาพระเยซูคริสต์เพื่อปลดปล่อยเธอจากอำนาจของมารซาตาน เธอจึงหันมาหาพระเยซูคริสต์เพื่อปลดปล่อยเธอจากอำนาจของมารซาตาน ดังนั้น เราที่เป็นลูกของพระเจ้าจึงไม่ต้องกลัวผีมารซาตานอีกแล้ว

ศจ. สมศักดิ์ ชูสงฆ์

จากหนังสือ พระคริสต์พิชิตซาตาน

ที่มา http://www.followhissteps.com/web_christianstories/defeat.html

สำนักพิมพ์ กนกบรรณสาร

Bad news about Microwave อันตรายจากเตาไมโครเวฝ

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

http://articles.mercola.com/sites/articles/archive/2010/05/18/microwave-hazards.aspx

เป็น ประเด็นถกเถียงกันในครอบครัวเลยตัดสินใจหาข้อมูลในเวปและแล้วก็เจอ โอ้โอ จะเป็นเช่นไรถ้ายังตัดใจที่จะเลิกใช้ยังไม่ได้เพราะความรวดเร็ว หรือความมักง่ายก็ไม่ทราบ แต่จะใช้ให้น้อยลงหรือเอะจะเลิกใช้มันไปเลยดีหนอ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้โดนเสียงฝ่ายค้านสองต่อหนึ่งเสียงแล้ว สรุปแพ้ค่ะ คงต้องเลิกแต่ยังเสียดายไม่หาย ความรวดเร็วและความมักง่ายหนอ....=_= !


ภาพข้างล่างเอามาจากเวป
arunsawat.comเห็นแล้วตกใจนิิดหน่อย เป็นกาีรทดลองโดยการเปรียบเทียบการอุ่นน้ำจากไมโครเวฟและการอุ่นน้ำจากกาน้ำทั่วไป












เกิดอะไรขึ้น เก้าวันเท่านั้น โอ้ย แล้วเราละเต็มๆ เลยสะสมไปวันละนิดๆ
เค้า ว่ากันว่าอันตรายนี้้สะสมรวดเร็วพอๆกับยาพิษ เหมือนตายผ่อนส่ง มันจะทำให้การย่อยเราไม่ได้การดูดซึมอาหารเราไม่ดีด้วยเท่ากับกินของเสียและ มีของเสียคงอยู่ในร่างกายถาวรเหมือนกินยาพิษอิเลคตรอนและโปรตรอนที่อยู่ใน อาหารที่ถูกปรุงด้วยไมโครเวฟมันถูกเปลี่ยนรูปไปทำให้อาหารคือสารพิษผลคือ ถ่ายไม่คล่อง เป็นมะเร็งเต้านม ลำคอลำไส้และอวัยวะภายในการสืบพันธุ์
ภายในการสืบพันธุ์



ผล จากอาหารไมโครเวฟทำให้ผู้ชายเป็นหมัน แล้วมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ ส่วนผู้หญิงจะเป็นมะเร็งที่มดลูก ลูกออกมามักไม่สมบูรณ์ ตอนนี้ยังไม่พบข่าวการแพทย์ในไทยผลทางร่างกาย หงุดหงิด สมองเสื่อมไว เมตาบอริซึมผิดปกติ ไมเกนเป็นง่าย

บน ฉลากขวดนมสำหรับเลี้ยงทารก ก็มีการระบุอย่างชัดเจนว่าห้ามใช้เตาไมโครเวฟต้มน้ำให้เดือดเนื่องจากคลื่น ไมโครเวฟจะไปทำลายสารอาหารที่มี ประโยชน์ทั้งหมด
ผล ร้ายที่เกิดเนื่องจากไมโครเวฟนี้ มีรายงานมากมายที่ทำในประเทศรัสเซีย เยอรมนี และ สวิตเซอร์แลนด์ แต่มีน้อยมากในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากการวิจัยในสหรัฐส่วนใหญ่ จะต้องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางการค้า มิฉะนั้น จะไม่ค่อยมีคนทำตาม
ในรายงานในรัสเซีย เยอรมนี และสวิส พบว่าคลื่นไมโครเวฟ จะทำให้คลื่นสมอง ลดลง สมองเสื่อม ทำให้คลื่นสมองมีความยาวคลื่นสั้นลง ในไมโครเวฟนอกจากจะ เป็นสารก่อมะเร็งแล้ว ยังเป็นสารตกค้างที่ร่างกายขจัดไม่ได้ คลื่นในระยะยาวจะทำให้ฮอร์โมนเพศลดลง และเปลี่ยนแปลงทำลายเกลือแร่ต่างๆ ในผัก เปลี่ยนเป็นอนุมูลอิสระที่เป็นโทษต่อร่างกาย ยังมีคลื่นอื่นๆ อีกหลายตัวในไมโครเวฟ ที่ล้วนทำให้สารบำรุงในอาหารเปลี่ยนไป และแปรสภาพเป็นสารก่อมะเร็งข้อมูลจากหนังสือซานเปิ่น (ศาสตราจารย์ด้านโภชนาการ มหาวิทยาลัยสิงคโปร์)




ดร.ฮานส์ อุลริช เฮอร์เทล (HansUlrich Hertel) นัก วิทยาศาสตร์เคยทำงานของมหาวิทยาลัยโลวาน ศึกษาผลกระทบด้านโภชนาการของอาหารไมโครเวฟที่มีต่อเลือดและร่างกายของมนุษย์ โดยให้อาสาสมัคร 8 คนกินนมและผักที่เตรียมวิธีต่างกัน คือ นมสด , นมชนิดเดียวกันแต่ต้มด้วยวิธีดังเดิม,นมพาสเจอไรซ์,นมสดที่ผ่านการต้มด้วยไมโครเวฟ,ผักสดจากฟาร์มอินทรีย์,ผักชนิดเดียวกันแต่ต้มด้วยวิธีดังเดิม,ผัก ชนิดเดียวกันแต่แช่แข็งและละลายในไมโครเวฟ และผักชนิดเดียวกันแต่หุงต้มในไมโครเวฟ มีการเก็บตัวอย่างเลือดก่อนกินขณะท้องว่าง และหลังกิน




ผล การทดลองปรากฏว่า พบการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในเลือดของผู้กินอาหารที่ผ่านการหุงต้มด้วย ไมโครเวฟ เช่น เฮโมโกลบินลดลง โคเลสเทอเลลเทอรอลชนิดดีลดลง เซลล์เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น ซึ่งการที่เซลล์เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น ในเชิงโลหิตวิทยาถือเป็นสัญญาณอันตราย กล่าวคือมีความผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกาย ร่างกายจึงต้องผลิตเม็ดเลือดขาวขึ้นมาเพื่อจัดการกับความผิดปกติเหล่านั้น
ราว กับทิ้งระเบิดลูกใหญ่ลงกลางวงอุตสาหกรรมเตาไมโครเวฟ ภายหลังตีพิมพ์ผลงานไม่นาน สมาคมผู้ค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนและอุตสาหกรรมแห่งสวิตเซอร์แลนด์ที่ รู้จักในชื่อ FEA ก็อาศัยอำนาจศาลสั่งให้ ดร. เฮอร์เทล ยุติการเผยแพร่ข้อมูล ต่อมาในปี 2536 ศาลสวิตเซอร์แลนด์ได้พิพากษาว่า ดร. เฮอร์เทลทำลายการค้า พร้อมสั่งปรับและห้ามไม่ให้ตีพิมพ์ผลการวิจัยอีกต่อไป ทว่าในอีก 5 ปี ต่อมา ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปที่ออสเตรเรียได้พิพากษาว่า การสั่งห้ามไม่ให้ ดร.เฮอร์เทลพูดถึงอันตรายของเตาไมโครเวฟที่มีต่อสุขภาพของมนุษย์ เป็นการระเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ทั้งนี้ได้สั่งศาลสวิตเซอร์แลนด์จ่ายค่าชดเชยให้ ดร.เฮอร์เทลด้ว (ที่มาจากเวป rmutphysics โดยคุณภัสน์วจี ศรีสุวรรณ์)
ข้อมูล เยอะไปหน่อยนะครับ ก็แค่อยากแบ่งปันเนื้อหาสาระให้ทุกคนได้อ่านและศึกษากัน กลัวไหมครับ ถ้าไม่กลัวก็จงใช้กันต่อไป นะ ... จะทำไงได้ละก็ในปัจจุบันชีวิตคนเราต้องกาีรความรวดเร็ว รีบด่วน มันก็ยากที่จะเลี่ยง แต่ถ้าไม่รีบร้อนอะไรก็ใช้วิธีอุ่นอาหารแบบที่บรรพบุรุษเราทำดีกว่านะครับ (ไม่ต้องถึงขั้นก่อฝืนก่อไฟก็ได้นะครับ )
The end.

เพื่อนผม ครูจอนส่งมา สิงหาคม 2010

Holocaust- สงครามล้างเผาพันธ์ยิว

When I was a kid, I couldn't understand why General Eisenhower was so popular. Maybe this will explain why.

General Eisenhower Warned Us.

[

It is a matter of history that when the Supreme Commander of the Allied Forces, General Dwight Eisenhower,found the victims of the death camps he ordered all possible photographs to be taken, and for the German people from surrounding villages to be ushered through the camps and even made to bury the dead.

He did this because he said in words to this effect:

'Get it all on record now - get the films - get the witnesses - because somewhere down the road of history some bastard will get up and say that this never happened'

This week, the UK debated whether to remove The Holocaust from its school curriculum because it 'offends' the Muslim population, which claims it never occurred. It is not removed as yet........ However,this is a frightening portent of the fear that is gripping the world and how easily each country is giving into it.

It is now more than 65 years after the Second World War in Europe ended. This e-mail is being sent as a memorial chain, in memory of the, six million Jews, 20 million Russians, 10 million Christians, and 1,900 Catholic priests Who were 'murdered, raped, burned, starved, beaten, experimented on and humiliated, while many in the world looked the other way!

Now, more than ever, with Iran , among others, claiming the Holocaust "never happened,it is imperative to make sure the world never forgets.



[

This e-mail is intended to reach 400 million people! Be a link in the memorial chain and help distribute this around the world.

How many years will it be before the attack on the World Trade Center 'NEVER HAPPENED',

because it offends some Muslim???

Do not just delete this message; it will take only a minute to pass this along.

FREEDOM ISN'T FREE...SOMEONE HAD TO PAY FOR IT!

็ำHeart Disease โรคหัวใจ นี่อาจเป็นสาเหตุสำคัญ





Subject: Heart Attacks and Drinking Warm Water

PA very good article which takes two minutes to read. Sent by a friend who had about 25 or 30 years in the field with such emergencies....I ' m sending this to persons I care about......why not do the same ?????

This is a very good article. Not only about the warm water after your meal, but about Heart Attacks. The Chinese and Japanese drink hot tea with their meals, not cold water, maybe it is time we adopt their drinking habit while eating.

นี่เป็นบทความที่ดีมาก ไม่ใช่แค่เรื่องน้ำอุ่นหลังอาหาร แต่เป็นเรื่อง หัวใจวาย เลยทีเดียว

คนจีนและคนญี่ปุ่นจะดื่มชาร้อนกับอาหาร ไม่ดื่มน้ำเย็น และตอนนี้คงถึงเวลาแล้วที่เราจะนำ นิสัยการดื่ม แบบนี้มาใช้เวลาเรากิน

For those who like to drink cold water, this article is applicable to you. It is nice to have a cup of cold drink after a meal. However, the cold water will solidify the oily stuff that you have just consumed. It will slow down the digestion. Once this ' sludge ' reacts with the acid, it will break down and be absorbed by the intestine faster than the solid food. It will line the intestine. Very soon, this will turn into fats and lead to

Cancer . It is best to drink hot soup or warm water after a meal.

บทความนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบดื่มน้ำเย็น มันรู้สึกดีที่ได้ดื่มน้ำเย็นๆซักแก้วนึง หลังอาหาร แต่น้ำเย็นจะทำ ให้ไขมันจากอาหารที่เรากินเข้าไปจับตัวกันและมันก็ทำให้การย่อยช้าลงด้วย

เมื่อกากไขมันเหล่านี้ทำปฏิกิริยากับกรด มันจะแตกตัวและถูกดูดซึมโดย ลำไส้ และในไม่ช้า มันจะกลายเป็นไขมันซึ่งส่งผลให้เกิด มะเร็ง ได้ ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดถ้าเราดื่มซุบร้อนๆ หรือ น้ำอุ่นหลังอาหาร


Common Symptoms Of Heart Attack...

A serious note about heart attacks - You should know that not every heart attack symptom is going to be the left arm hurting.. Be aware of intense pain in the jaw line.

อาการสามัญของหัวใจวาย

หมายเหตุที่สำคัญของหัวใจวาย - คุณควรรู้ว่าไม่ทั้งหมดของอาการหัวใจวายนั้นจะเป็น การเจ็บที่แขนซ้าย ระวัง การปวดที่รุนแรงของแนวกราม ด้วย

You may never have the first chest pain during the course of a heart attack. Nausea and intense sweating are also common symptoms. 60% of people who have a heart attack while they are asleep do not wake up. Pain in the jaw can wake you from a sound sleep. Let 's be careful and be aware. The more we know, the better chance we could survive.

คุณอาจจะไม่มี อาการเจ็บหน้าอก เป็นอันดับแรก ระหว่างการเป็นหัวใจวาย อาการคลื่นไส้และเหงื่อออกอย่างมาก ก็เป็นอาการสามัญ 60% ของผู้ที่มีอาการหัวใจวายขณะนอนหลับจะไม่ตื่นเลย อาการปวดที่กรามสามารถปลุกคุณจากการนอนได้ จงระวังและตระหนักไว้ ยิ่งเรารู้มากเท่าไหร่ ก็มีโอกาสที่เราจะมีชีวิตรอดเท่านั้น

A cardiologist says if everyone who reads this message sends it to 10 people, you can be sure that we 'll save at least one life. Read this & Send to a friend. It could save a life. So, please be a true friend and send this article to all your friends you care about.

นักหัวใจวิทยาท่านหนึ่งพูดว่า ถ้าใครก็ตามที่ได้อ่านข้อความนี้ส่งมันต่อไปยังคนอีก 10 คน คุณแน่ใจได้เลยว่าเราจะช่วยชีวิตคนๆหนึ่งได้ ดังนั้น โปรดเป็นเพื่อนที่ดีและส่งบทความนี้ให้เพื่อนทุกคนที่คุณห่วงใย

แปลโดย l3owBearY

http://bowbeary.hi5.com


เพื่อนเตือนเพื่อน - ความจริงใจ

มีแต่เพื่อนแท้ของคุณเท่านั้นที่จะบอกความจริงแก่คุณเมื่อใบหน้าของคุณสกปรก” (“Only your real friends will tell you when your face is dirty.”) -Sicilian Proverb-

มีเรื่องเล่าว่า...ชายคนหนึ่งจะไปรับราชการ เพื่อนของเขาจึงเตือนเขาว่า...

“รับราชการไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องอดทนนะ”

ชายผู้นั้นตอบว่า...“เออ รู้แล้ว”

สักครูหนึ่งเพื่อนคนเดิมก็เตือนเขาอีกว่า...

“...อย่าลืมนะ รับราชการเป็นเรื่องลำบาก ต้องอดทนให้มาก”

ชายคนนั้นก็ตอบรับเช่นเดิมว่า...“เออ รู้แล้ว”

อีกครู่หนึ่งเพื่อนคนเดิมก็พูดเตือนขึ้นอีกในทำนองเดียวกัน ชายคนนั้นก็ตอบรับอีกเช่นเคย

แต่พอเพื่อนคนนั้นกล่าวเตือนเขาเป็นครั้งที่ 4 ชายผู้นี้ก็อดรนทนต่อไปไม่ได้ จึงระเบิดอารมณ์ออกมาว่า...“แกเห็นว่าข้าโง่เง่าเต่าตุ่นหรือไง จึงพูดซ้ำๆซากๆไม่รู้จักจบสิ้นเช่นนี้!”

เพื่อนผู้นั้นจึงถอนใจเฮือกใหญ่กล่าวว่า...“ข้าพูดซ้ำๆซากๆกับแกเพียง 4 ครั้งเท่านั้น แกก็ทนไม่ไหวเสียแล้ว แล้วอย่างนี้แกจะไปรับใช้ประชาชนในเรื่องซ้ำๆซากๆได้อย่างไร?”

ขอให้อุทาหรณ์นี้สอนใจคุณให้รู้จักขอบคุณเพื่อนที่กล้าเตือน หรือกล้าบอกคุณในสิ่งที่คุณควรปรับปรุงแก้ไขนั้น เพราะว่าพวกเขาต้องจริงใจต่อคุณมากพอจะเสี่ยงบอกความจริงดังกล่าวนั้นแก่คุณ...เขาจึงเป็นบุคคลที่คู่ควรกับการเป็นมิตรแท้ที่เราควรรักษาไว้

ว่าแต่ว่า...ตัวคุณเองล่ะ กล้าเสี่ยงในการบอกความจริงเพื่อจะช่วยเพื่อนของคุณแล้วหรือยัง?...

ตอบที!

“การบอกเพื่อนของคุณในเรื่องความผิดพลาดของเขา ถือเป็นแบบทดสอบของมิตรภาพที่สาหัสที่สุด ดังนั้น มิตรภาพคือการที่เรารักใครสักคนมาก จนกระทั่งเราไม่อาจทนดูเขามีตำหนิมลทินในชีวิต และกล้าพูดความจริงที่อาจทำให้เขาเจ็บปวดด้วยถ้อยคำแห่งความรัก”

(It is one of the severest tests of friendship to tell your friend his faults. So to love a man that you cannot bear to see a stain upon him, and to speak painful truth through loving words, that is friendship.) - Henry Ward Beecher – (1813-1887)

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 241 วันที่ 9-15 มกราคม พ.ศ. 2553 หน้า 25 คอลัมน์ พลังชีวิต โดย ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

เรื่องดีๆ ที่ควรอ่าน

http://www.followhissteps.com/web_biblestudy/stories.html

เรื่องราวสั้น ๆ สำหรับผู้สนใจ

ความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว


คุณเคยเห็นคนฆ่าตัวตายเพราะความรักบ้างไหม? คุณคิดว่า "ความรัก"
ของพวกเขายิ่งใหญ่จริงหรือเมื่อพวกเขาฆ่าตัวตายเพื่อบูชารัก?
ความรักไม่ใช่เทพเจ้าหรือพระเจ้า
แล้วเหตุไฉนจึงไปเซ่นไหว้ความรักนั้นด้วยชีวิตอันสูงค่า?

ตรงกันข้าม ถ้าความรักสูงค่าจริง
ก็ยิ่งไม่สมควรจะทำให้ความรักต้องแปดเปื้อนหรือมัวหมอง
เพราะการกระทำอย่างขาดสติเช่นนั้น? ถ้าคุณรักหรือศรัทธาในคุณพ่อคุณแม่
คุณจะฆ่าตัวตายบูชาพ่อแม่หรือ? ถ้าคุณกระทำเช่นนั้น
จะไม่เท่ากับเป็นการฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ของคุณหรอกหรือ?
เพราะพ่อกับแม่ของคุณคงจะเสียใจ ร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด
ที่ลูกรักมาฆ่าตัวตายอย่างนี้!

หรือถ้าคุณรักใครสักคน แล้วคุณพบว่าคนที่คุณรักกำลังปันใจไปให้แก่คนอื่น
และคุณรักเขาหรือเธอมาก จึงไม่อยากให้เขาหรือเธอจากคุณไป
คุณก็เลยฆ่าเขาหรือเธอ พร้อมกับฆ่าตัวของคุณเองด้วย
คุณเรียกการกระทำเช่นนี้ว่า รัก หรอกหรือ?
ผมคิดว่าคนที่คุณรักคงอยากจะกราบคุณจนหน้าผากติดพื้น แล้ววิงวอนว่า
กรุณาอย่ารักเขาหรือเธอเลย จะเป็นพระคุณอย่างสูง!

แน่นอน ถ้าคุณรักใครหรือสิ่งใด คุณจะไม่ทำลายชีวิตของเขาหรือของคุณเอง
โดยอ้างบุคคลนั้นหรือสิ่งนั้น ตรงกันข้าม คุณจะยอมทุ่มเทสรรพสิ่งที่คุณมี
รวมทั้งชีวิตของคุณเพื่อปกป้องหรือช่วยเหลือคนที่คุณรัก
แต่ย้ำอีกครั้งถ้าคุณรักใครสักคนจริงๆ
แม้ว่าคุณพร้อมจะตายเพื่อเขาหรือเธอ
แต่คงไม่มีประโยชน์อันใดที่คุณจะฆ่าตัวตายบูชารัก?
เพราะถ้าคุณฆ่าตัวตายไป แล้วใครจะปกป้องคนที่คุณรักล่ะ?

พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ผู้ทรงรักคุณก็เช่นกัน
พระองค์ทรงประเมินคุณค่าในตัวของคุณสูงมาก จนพระองค์ทรงยินดีจ่ายราคาสูง
รับสภาพเป็นมนุษย์ โดยใช้นามว่า "เยซู" แปลว่า "ผู้ช่วย(คุณ)ให้รอด"

องค์พระเยซูคริสต์ทรงยอมสละสิ้นทุกสิ่ง
แม้แต่ราชบัลลังก์แห่งฟ้าสวรรค์เพื่อลงมายังแดนดินด้วยความรัก
เพื่อช่วยคุณให้รอดพ้น "โทษของบาปกรรม" ที่คุณได้ก่อไว้ในชาตินี้

ในพระคัมภีร์มีคำจารึกความจริงดังกล่าวไว้ดังนี้ว่า "แต่พระเจ้า
ทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย
คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น
พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา" (โรม 5:8)
สิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำนี้ เป็นความรักแท้ ที่บริสุทธิ์
ความรักแท้คือ ความรักที่ปลอดสารพิษ

ความรักใดๆที่มีสิ่งเจือปนอยู่ก็คือ ความรักพิษ และสิ่งเจือปน
ที่น่ากลัวที่สุดคือ ความเห็นแก่ตัว
รักของพระเจ้าที่สำแดงผ่านการเสียสละของพระเยซูคริสต์
เป็นความรักที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว

รักอย่างนี้จึงเป็นรักที่ยิ่งใหญ่
คนที่บอกว่ารักแฟนหรือคนรักแล้วฆ่าเขาหรือเธอด้วยคำพูดหรือการกระทำ
ล้วนแต่เป็นคนพูดมุสา ส่วนใหญ่คนประเภทนี้จะมีความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง
แต่อ้างว่า "ความรัก" มากลบเกลื่อน

รักแท้ จะต้องปลอดจากความเห็นแก่ตัว

ความรักของพระเจ้าที่ทรงเตรียมไว้สำหรับคุณก็คือ
ความรักที่ไร้ความเห็นแก่ตัว 100%

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 269 วันที่ 24-30 กรกฎาคม
พ.ศ. 2553 หน้า 25 คอลัมน์ พลังชีวิต โดย ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

ศจ ธงชัย เป็นคริสเตียนที่มีชื่อเสียงมานาน ตั้งแต่สมัย การจัดตั้งองค์กร ยุวคริสเตียนแห่งประเทศไทย แต่ภายหลังยุบเลิกไป
เข้าใจว่าท่านเป็นคริสเตียน สายแบ๊ปติส ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่า

Free tickets, ตั๋วฟรี

มาเหมือนอย่างขโมยในเวลากลางคืน

"เพราะท่านเองก็รู้ดีแล้วว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จะมาเหมือนอย่างขโมยที่มาในเวลากลางคืน"

(1เธสะโลนิกา 5:2)

ชายคนหนึ่งไปเดินซื้อของโดยลืมกุญแจบ้านไว้ในรถ และคากุญแจรถไว้ข้างใน
พอซื้อของเสร็จกลับมา รถก็หายไป เช้าวันรุ่งขึ้น
เขาพบรถตัวเองจอดอยู่ที่ข้างถนน มีโน๊ตแปะไว้เขียนว่า "ผมขอโทษ
พอดีมีเหตุฉุกเฉิน จำเป็นต้องใช้รถครับ
ผมมีตั๋วชมทีมดัลลัสคาวบอยสองใบมามอบให้ครับ"

ชายคนนั้นจึงรีบไปบอกกับภรรยา "คุณคงไม่เชื่อหรอก นั่นไง เราเจอรถแล้ว
ดูสิ คืนมาพร้อมกับตั๋วชมอเมริกันฟุตบอลที่ทีมดัลลัสคาวบอยเล่นด้วย"
พอถึงวัน ทั้งคู่ก็ไปดูทีมโปรดเล่น พอกลับถึงบ้าน พบว่าถูกยกเค้า
ขนไปเกลี้ยง

เพื่อนครับ พวกเขาคาดไม่ถึง และนี่คือประเด็นสำคัญ
นี่คือเวลาที่องค์พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมา -
เหมือนอย่างขโมยที่มาในเวลากลางคืน

คุณจะดำเนินชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไรในวันนี้ ถ้าคุณรู้ว่าพระเยซูกำลังจะมา...
ภายใน 24 ชั่วโมง?

โดย: Pastor Adrian Rogers

จาก: Daily devotional

Love worth finding ministries: www.lwf.org

ข่าวประชาสัมพันธ์

Magic Spider- แมงมุมแสนฉลาด


This spider is very smart . Click on the photo to see how smart it is.

This Spider is very intellit

Inspiring Words From Reinhard Bonnke

http://www.facebook.com/home.php?#!/evangelistreinhardbonnke

We need ONE BATH, but MANY WASHINGS. The bath is in the Blood of Jesus, but the washings happen by the water of the Word of God. Read it daily. You will know the difference. REINHARD BONNKE

Most of man's ills are man-made. Yet there is power in the gospel to reverse these fatal processes. The truth will set us free, calling us back to do His will, which is always for the good of us all. God loves His prodigal planet, and if we return, we shall enjoy the glad welcome of the Father. Be blessed. REINHARD BON...

We all possess a faith faculty. We trust things around us: people, food, bus and car drivers, businesses, banks. We can extend it to include God. Jesus put a library of wisdom into four words ‘Fear not, only believe’. Worry is fear. ‘Fear has torment’ the Bible says. God doesn’t want you tormented. Nothing can happen that you and God can’t handle together. REINHARD BONNKE

The Gospel does not threaten sinners. It is glad news, not mad news. Yet Jesus talked more about hell than heaven – not as a THREAT but as a WARNING. There is something I’d call MILITANT MERCY. When a fast moving car approaches a child, we would snatch it from danger. It may be rough, but it is true mercy. That’s what ...Jesus does! HE SAVES. REINHARD BONNKE.



The devil, supreme commander of the forces of darkness, has numerous fiery darts, against which the Christian has one all-purpose superior counter-weapon – faith in God. No weapon formed against you shall prosper (Isaiah 54:17). Take it. REINHARD BONNKEThe


Bible has a roll of honor (Heb 11), listing heroes, and heroines. They are remembered not for valor or kindness, but for their complete reliance upon God. Faith is a perfectly ordinary thing that makes us outstanding in the eyes of God.

Salvation is not just an act of God. It is LOCKED into His very nature. It is His eternal disposition, His character. He is the God of Calvary-Passion. Yes, He is salvation. Be blessed. REINHARD BONNKE


The heart of the Gospel is the pierced heart of the Son of God. It is all there, at the cross. God, horrified and assaulted by our sin, our clenched fist in His face, and His breathtaking act of turning that same cross into the instrument of redeeming love, reconciliation and salvation. He died for those who killed Him.... By His blood He forgave those who spilled it. That is the Gospel story.

We may be wrong, perhaps stumbling in our walk, but that makes it so necessary for us to receive the Holy Spirit. He is not given on condition that we are perfect. He is given because we are not perfect and because we need Him. Good morning from Florida.Jesus told us a powerful truth in a parable. A merchant found one fine pearl that was worth a phenomenal amount and sold everything else he had to raise enough money to buy it (Mat 13:45-46). This is a picture of God emptying the treasure chest of his love for us. We were no bargain....

The Bible was written for people with no real faith. We all begin with a minus. If we have no faith, reading the Bible produces it, and if we have some faith we get more the same way. We do not acquire faith first and bring it to Scripture. Scripture encourages faith. Faith comes by hearing the Word of God (Ro 10:17).

Facing the Red Sea on the one side and Pharaoh’s army on the other, Moses said to the people “Fear ye not, stand still and see the salvation of the Lord”. But GOD was not happy. He gave a COUNTER-COMMAND “Speak unto the children of Israel THAT THEY GO FORWARD”. (Ex 14:13-15) When you hear “stand still” it’s Rev. Mose...s, but when you hear “go forward” it is God.

A friend of mine was cleaning out his garage, and tossed a piece of metal aside into a corner where there was what seemed to be a pile of garbage. It caused vivid and audible sparking. Investigation revealed an old car battery. The steel bar had shorted across its terminals...

My definition for atheism: INTELLECTUAL VANDALISM. “The fool has said in his heart, ‘there is no God’” (Psalm 14, 1).
Faith in Christ is different to any other kind of faith. It is not found in the Old Testament. In the New Testament, the word used means believing 'into' Christ, suggesting movement. Faith IN Christ means moving close to Him in trustful love. It is an embrace...

When the HOLY SPIRIT fell in Acts chapter 2, He made the 120 disciples speak not just in Hebrew but in the languages of the world, “in other tongues”. This is the ultimate proof of the ETHNIC INTEREST of the Holy Spirit: all languages, all the world, all peoples, all tribes and all nations… It connects seamlessly with... the Great Commission of Jesus and provides both, purpose and power. Blessed?

Worries - ความวิตกกังวล

โดย ดร.เฮ็นรี ซี. ซัน
        วิตกกังวล

ในพระคริสตธรรมคัมภีร์มีหลายตอนที่พูดถึงความวิตกกังวล
พระเยซูก็ทรงเน้นไม่ให้วิตกกังวลมากกว่าเน้นไม่ให้ทำบาป

"อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย
แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน
การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ
จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์" (ฟิลิปปี 4:6-7)

ไม่กลัว

ความกลัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์คือกลัวความตาย
ถ้าใครไม่กลัวตาย เขาก็คงไม่กลัวอะไรอื่นอีก
อันที่จริงพระเจ้าทรงควบคุมชีวิตและความตายของมนุษย์ทุกคน
พระองค์อาจเอาชีวิตของบางคนไปหรือประทานชีวิตให้กับบางคนก็ได้

"พระเจ้าทรงประหารและทรงให้ชีวิต พระองค์ทรงนำลงไปถึงแดนคนตายและนำขึ้นมา
พระเจ้าทรงกระทำให้ยากจนและทรงกระทำให้มั่งคั่ง
พระองค์ทรงกระทำให้ต่ำลงและพระองค์ทรงยกขึ้น
พระองค์ทรงยกคนยากจนขึ้นจากผงคลี พระองค์ทรงยกคนขัดสนขึ้นจากกองขยะ
กระทำให้เขานั่งร่วมกับเจ้านาย และได้ที่นั่งอันมีเกียรติเป็นมรดก
เพราะว่าเสาแห่งพิภพเป็นของพระเจ้า พระองค์ทรงวางพิภพไว้บนนั้น" (1
ซามูเอล 2:6-8)

เมื่อเราได้รับการประกันว่าชีวิตนิรันดร์แล้ว
เราไม่ต้องกลัวสิ่งอื่นใดอีก แม้แต่การถูกโยนลงในถ้ำสิงโต
หรือในไฟที่ลุกอยู่ เราไม่จำเป็นต้องกลัวการทนทุกข์ฝ่ายร่างกาย
หรือภัยธรรมชาติวิกฤตทางเศรษฐกิจ อุบัติเหตุ หรือแม้แต่ความตาย

ทำไมเราจึงไม่กลัวตาย? ก็เพราะว่าสวรรค์นั้นน่าอยู่กว่าโลกมาก
อัครทูตเปาโลกล่าวว่า "เพราะเราดำเนินโดยความเชื่อ มิใช่ตามที่ตามองเห็น
เรามีความมั่นใจ
และเราปรารถนาจะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าอยู่ในร่างกายนี้" (2
โครินธ์ 5:7-8)

เพื่อนของดานิเอลสามคนคือ ชัครัค เมชาค และเอเบดเนโก
ถูกนำไปเป็นเชลยในกรุงบาบิโลนในฐานะทาส
แต่ได้กลายมาเป็นข้าราชการของกษัตริย์เนบูคัสเนสซาร์
เขาไม่ยอมกราบไหว้รูปเคารพทองคำที่กษัตริย์สั่งให้ทุกคนกราบไหว้ ดังนั้น
เขาจึงถูกน้ำไปโยนในกองเพลิง

กษัตริย์ให้โอกาสแก่พวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย
แต่พวกเขาก็ปฏิเสธไม่ยอมนมัสการรูปเคารพนั้น โดยกล่าวว่า
"ถ้าพระเจ้าของพวกข้าพระบาทผู้ซึ่งพวกข้าพระบาทปรนนิบัติ
พอพระทัยจะช่วยกู้พวกข้าพระบาทให้พันจากเตาที่ไฟลุกอยู่ ข้าแต่พระราชา
พระองค์ก็ทรงช่วยกู้พวกข้าพระบาทให้พ้นพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท
ถึงแม้ไม่เป็นเช่นนั้น ข้าแต่พระราชา ขอฝ่าพระบาททรงทราบว่า
พวกข้าพระบาทก็ไม่ปรนนิบัติพระของฝ่าพระบาท
หรือนมัสการปฏิมากรทองคำซึ่งฝ่าพระบาทได้ทรงตั้งขึ้น" (ดาเนียล 3:17-18)

แล้วกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงเกรี้ยวกราดนัก รับสั่งให้มัดชัดรัค เมชาค
และเอเบดเนโก และโยนเข้าไปในเตาไฟทั้งที่ยังถูกมัดอยู่
ขณะนั้นกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ประหลาดพระทัย ทรงลุกขึ้นโดยฉับพลัน
พระองค์ตรัสว่า "เรามัดสามคนโยนเข้าไปในไฟมิใช่หรือ แต่เราเห็นสี่คน
มือไม่ได้ถูกมัด กำลังเดินอยู่กลางไฟและเขาทั้งหลายก็ไม่เป็นอันตราย
รูปร่างของคนที่สี่นั้นคล้ายกับองค์เทพบุตร"

แล้วเนบูคัดเนสซาร์เสด็จมาใกล้ประตูเตาที่ไฟลุกอยู่นั้น ทรงกล่าวว่า
"ซัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก ผู้รับใช้ของพระเจ้าสูงสุด จงออกมาเถิด
จงมาที่นี่" แล้วทั้งสามก็เดินออกมาจากไฟ ผมที่ศีรษะของเขาก็ไม่งอ
เสื้อก็มิได้ไหม้ และไม่มีกลิ่นไฟที่ตัวเขาทั้งหลายเลย (ดาเนียล 3:17-27)

ตลอดประวัติศาสตร์
สาวกของพระเยซูคริสต์หลายพันคนถูกข่มเหงและถูกฆ่าเพราะพระกิตติคุณ
แต่ไม่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าพวกเขาหวาดกลัว ตรงข้าม
พวกเขากลับอธิษฐานขอพรและขอพระเจ้ายกโทษให้กับศัตรู
เช่นเมื่อประชาชนจะเอาหินขว้างสเทเฟน
ขณะกำลังอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ว่า "ข้าแต่พระเยซูเจ้า
ขอทรงโปรดรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย"

สเทเฟนก็คุกเข่าลงร้องเสียงดังว่า "ข้าและองค์พระผู้เป็นเจ้า
ขอโปรดอย่าทรงถือโทษเขาเพราะบาปนี้" เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้วก็ล่วงลับไป
(กิจการ 7:59-60)

ศจ.ดร.บัวขาบ รองหานาม แปล

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับ 265 วันที่ 26 มิถุนายน-2
กรกฎาคม พ.ศ. 2553 หน้า 25 คอลัมน์ พระวจนธรรม โดย ดร.เฮ็นรี ซี. ซัน